tag:blogger.com,1999:blog-3769644307964374852024-03-13T22:03:45.444-07:00บล็อกรวมรวมสิ่งดีๆ ที่มีประโยชน์ ที่ใหญ่ที่สุดUnknownnoreply@blogger.comBlogger45125tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-34382610845845111042013-10-12T00:56:00.000-07:002013-10-12T00:56:10.064-07:00อาหาร 13 เมนูยอดนิยม ที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังรับประทาน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-MXspNmjkEdo/UlkAH3O15nI/AAAAAAAAEvE/fUbikhPZXUU/s1600/fastfood.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="262" src="http://3.bp.blogspot.com/-MXspNmjkEdo/UlkAH3O15nI/AAAAAAAAEvE/fUbikhPZXUU/s320/fastfood.jpg" width="320" /></a></div>
<b><span style="color: #cc0000;">อาหาร 13 เมนูยอดนิยม ที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังรับประทาน</span></b><br />
<br />
เมนูยอดนิยมนี้ มีตั้งแต่โซดาไปจนถึงข้าวโพดคั่ว ทั้งที่มาในรูปอาหารเพื่อสุขภาพและจานด่วน ที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังรับประทาน<br />
<br />
<b>1. นักเก็ตไก่</b><br />
อาหารฟาสต์ฟูดยอดนิยมที่กินสะดวกและหาได้ทั่วไป แต่ถ้าเลี่ยงได้ควรเลี่ยง จะเป็นแบบแช่ฟรีซไว้ในตู้เย็นที่บ้านหรือซื้อทานในร้านอาหารก็ไม่ควร เพราะมีปริมาณเกลือสูง รวมถึงสารกันบูด และ ไขมันในปริมาณเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ<br />
<br />
<b>2. เฟรนช์ฟรายด์</b><br />
รู้อยู่แล้วว่าเป็นของว่างที่อุดมไปด้วยแคลอรี่ การทานเป็นประจำอาจก่อให้เกิดโรคเบาหวานและควบคุมน้ำหนักได้ยาก สารอาหารที่เป็นประโยชน์ของเจ้าแท่งสีเหลืองทองถือว่ามีน้อยมาก แม้ว่าจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อย แต่ถ้าอยากกินจริงๆ แนะนำให้อบแทนทอด<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<b>3. ขนมขบเคี้ยวชนิดทอด</b><br />
ขนมขบเคี้ยวประเภททอดทั้งหลายล้วนใส่เกลือในสัดส่วนเกินพอดี นั่นหมายถึงปริมาณแคลอรี่ และ สารกันบูด ในระดับที่ทำลายสุขภาพ โดยให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและใยอาหารต่ำ อันจะส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-7caEuvXHqWc/UlkAHp3Y26I/AAAAAAAAEvI/Ls0Bb1RN0lg/s1600/2009112514n81901.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://3.bp.blogspot.com/-7caEuvXHqWc/UlkAHp3Y26I/AAAAAAAAEvI/Ls0Bb1RN0lg/s320/2009112514n81901.jpg" width="298" /></a></div>
<b>4. โซดา</b><br />
ความจริงคือน้ำซ่าชนิดนี้มีแคลอรี่เท่ากับศูนย์ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ให้สารอาหารเป็นประโยชน์ใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นโซดาในท้องตลาดทั้งหลายยังใส่ส่วนผสมแต่งรสแต่งกลิ่น เช่น น้ำเชื่อมฟรุกโตส(ไซรัป) ที่ทำจากข้าวโพดที่ให้โทษมากกว่าน้ำตาล เพราะมันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไปเพิ่มระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่มีส่วนทำลายเซลล์ในตับ นอกจากนี้ยังทำให้อ้วน และช่วยกระจายเชื้อแบคทีเรียและมะเร็ง โดยไปเพิ่มปริมาณกรดแก่ร่างกาย<br />
<br />
<b>5. ฮอทดอกและเนื้อแปรรูป</b><br />
กระบวนการผลิตเนื้อและฮอทดอกในท้องตลาดใช้สารสังเคราะห์ในปริมาณสูง รวมถึงผงชูรส เกลือ และบรรจุภัณฑ์ราคาถูก ที่สำคัญ ในขั้นตอนการแยกเนื้อและไขมันนั้นต้องผลิตภายใต้ความร้อนและความดันที่สูงมาก สารอาหารที่มีประโยชน์จึงสูญเสียไปเยอะ<br />
<br />
<b>6.แฮมเบอร์เกอร์จานด่วน</b><br />
เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานแฮมเบอร์เกอร์ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีแนวโน้มเป็นเบาหวานมากกว่าคนที่ไม่ทาน<br />
<br />
<b>7.ซีเรียลผสมน้ำตาล</b><br />
อาหารเช้าอย่างซีเรียล โดยเฉพาะยี่ห้อที่กล่องสีสันสดใส หลายบ้านมีไว้คู่ครัว ทราบหรือไม่ว่าแต่ละกล่องเพิ่มปริมาณน้ำตาลเข้าไปในระดับเสี่ยงเป็นเบาหวาน แม้คุณสมบัติเส้นใยสูงจะช่วยป้องกันโรคเบาหวาน แต่ซีเรียลเหล่านี้ก็มีไฟเบอร์อันเป็นประโยชน์ในสัดส่วนที่ต่ำมาก ถ้าอยากกินจริงๆ ให้มองหาซีเรียลที่ข้างกล่องระบุไว้ว่ามีไฟเบอร์ประมาณ 5 กรัม และเลี่ยงชนิดที่มีปริมาณน้ำตาลสูง<br />
<br />
<b>8. มันฝรั่งทอดชนิดแผ่น</b><br />
มันฝรังแผ่นทอดกรอบต่างๆ อุดมไปด้วยไขมันและแคลอรี่ ที่สำคัญเค็มมาก ทั้งหมดนี้แทคทีมกันทำร้ายสุขภาพ ทางที่ดีควรกินให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเท่ากับจะได้หนีจากปริมาณไขมันและแคลลอรี่ในปริมาณที่ร่างกายเกินต้องการ และไปลงท้ายด้วยการสะสมในน้ำหนักจนพุ่งกระฉูด ซึ่งจะนำไปสู่โรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอีกสารพัด<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-ShbakARAP_0/UlkAHhYCnZI/AAAAAAAAEvA/z3TdxqAMc44/s1600/images.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-ShbakARAP_0/UlkAHhYCnZI/AAAAAAAAEvA/z3TdxqAMc44/s1600/images.jpg" /></a></div>
<b>9. กราโนลา บาร์ หรืออาหารเช้าที่ประกอบด้วยน้ำนมใส่ผลไม้แห้ง,ผลไม้เปลือกแข็ง,ข้าว ชนิดอัดแท่ง</b><br />
ตลาดอาหารสำเร็จรูปที่(ดู)มีประโยชน์กำลังโปรโมทเมนูสุขภาพนี้อย่างเต็มที่ ความจริงก็คือ กราโนลาบาร์ มีปริมาณน้ำตาลไซรัปข้าวโพดสูง แม้บางยี่ห้อจะโฆษณาว่ามีส่วนผสมของน้ำผึ้งแท้ แต่สารให้ความหวานส่วนใหญ่มาจากน้ำตาลไซรัปข้าวโพด ที่อุดมไปด้วยโซเดียมและไขมันที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ<br />
<br />
<b>10.คุกกี้ แครกเกอร์ เค้ก และ มัฟฟิน สำเร็จรูป</b><br />
ขนมเหล่านี้จัดอยู่ในสินค้าหมวดเดียวกันของร้านสะดวกซื้อ เพราะมีผลต่อสุขภาพใกล้เคียงกัน นอกเหนือจากปริมาณน้ำตาลและเกลือที่สูงมาก ขนมเหล่านี้ยังประกอบไปด้วยไขมันชนิดทรานส์ ซึ่งผู้ผลิตนิยมใช้เพราะราคาถูกว่าไขมันที่มีประโยชน์ขนิดอื่นๆ และยังช่วยยืดวันหมดอายุ และ ทำให้หน้าตาขนมดูดีไปได้เป็นระยะเวลานาน<br />
<br />
<b>11. ชาเย็นสำเร็จรูป</b><br />
จากคำโฆษณาว่าทำเองแสนจะง่ายแถมราคาถูกอีกต่างหาก ที่จริงแล้วเครื่องดืมชนิดนี้ทำมาจากถุงชาราคา เครื่องดื่มชนิดนี้ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสุขภาพตามที่บอกเอาไว้ นอกจากจะไม่มีประโยชน์ใดๆ ยังเต็มไปด้วยกลิ่นสีสังเคราะห์ น้ำตาลไซรัปข้าวโพด และ น้ำตาลชนิดอื่นๆ อีก<br />
<br />
<b>12. มาการีน (เนยเทียม)</b><br />
ดูเป็นทางเลือกรองจากเนยแท้ ซึ่งหลายบ้านมีไว้คู่ครัว ข้อเสียประการสำคัญคือ อุดมไปด้วยไขมันทรานส์ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ อย่างโรคอ้วน นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วย อนุมูลอิสระ สารกันบูด สารอีมัลซิฟายเออร์-ป้องกันการแยกตัวของน้ำและน้ำมัน และ เฮกเซน - สารทำลายละลาย ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ<br />
<br />
<b>13. ข้าวโพดคั่วจากไมโครเวฟ</b><br />
ของทานเล่นยอดนิยมชนิดนี้ คือหนึ่งในเมนูที่ไร้คุณค่าทางสารอาหารมากที่สุดเมนูหนึ่ง ประการแรก ข้าวโพดชนิดนี้ล้วนผ่านการตัดต่อทางพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ยังไม่รวมสารกันบูด และ เกลือที่ใส่ลงไปไม่ยั้ง มากกว่านั้น ยังมีสารไดอะซิติล สารที่อยู่ในเนยหรือน้ำมันที่ใช้ในการเพิ่มรสและกลิ่น ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดหลอดลมอักเสบ หลอดลมถูกทำลาย หรือมีอีกชื่อว่า Popcorn Lung ถ้าอยากกินจริงๆ ให้เลือกชนิดที่ปลูกแบบออร์แกนิค และ ซื้อมาทำเองที่บ้านด้วยส่วนผสมเตรียมเองเช่นกัน เช่น น้ำมันมะพร้าว เนยแท้ ฯลฯ<br />
<br />
ที่มา : fitnea.com และ waymagazine.org,www.sanook.comUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-51410495660339859672012-06-20T04:36:00.001-07:002012-06-20T04:36:02.524-07:00ทานปลาเป็นประจำดีต่อร่างกาย<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-003MbiDal3o/T-G1WaVA10I/AAAAAAAAEb0/TFe4_9KkEC4/s1600/fish1.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-003MbiDal3o/T-G1WaVA10I/AAAAAAAAEb0/TFe4_9KkEC4/s1600/fish1.jpg" /></a></div>
จากการวิจัยและศึกษาแบบแผนการกินอาหารของคนเรา สุขภาพของคนชรา จำนวน 1674 คน ได้ทานปลาติดต่อกัน นานต่อเนื่องกัน 7 ปี ผลปรากฏพบว่าผู้ที่กินปลา หรืออาหารทะเลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจิตเสื่อมได้ รวมไปถึงโรคอัลไซเมอร์ลงได้มากอีกด้วย ซึ้งทางนักวิจัยก็ได้ชี้แจงเอาไว้ว่า ในปลามีกรดไขมันแบบไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน และในปลายังมี โอเมก้า- 3 ที่พบมากอยู่ใน ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, ปลาอินทรี, และอาหารทะเลอื่นๆมากมาย ช่วยลดการอักเสบของสมองของเรา และยังช่วยสร้างเซลสมองขึ้นใหม่ทดแทนเซลล์ที่ได้เสื่อมเสียไปแล้ว ปลามีประโยชน์ต่อสุขภาพและหัวใจ การวิจัยของทางประเทศออสเตรเลีย ยังพบอีกว่าในปลามี โอเมก้า – 3 ที่ดีต่อสุขภาพดวงตาของเราอีกด้วย คนที่กินปลาเป็นประจางน้อย 1-3 ครั้งต่อเดือน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคสายตา เนื่องจากอายุที่มากขึ้น น้อยกว่าผู้ที่กินปลา ปริมาณที่น้อยกว่านี้ประมาณครึ่ง ถึงเท่าตัวเลย<br />
<br />
ที่มา: <a href="http://narakjungonline.com/?p=73" rel="nofollow" target="_blank">narakjungonline.com</a><br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-1828184770303978482012-06-20T04:23:00.000-07:002012-06-20T04:23:39.543-07:00ประโยชน์จากการบริโภคปลา<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-FvIKsTwwois/T-GyDSsmBTI/AAAAAAAAEbo/cwbjk0HwkUI/s1600/fish2.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="157" src="http://3.bp.blogspot.com/-FvIKsTwwois/T-GyDSsmBTI/AAAAAAAAEbo/cwbjk0HwkUI/s200/fish2.jpg" width="200" /></a></div>
<div>
<strong style="background-color: white;">ปลาเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน</strong><span style="background-color: white;">
โดยที่โปรตีนนั้นเป็นอาหารที่ร่างกายคนต้องการและจำเป็นมากอย่างหนึ่ง
โปรตีนจะสร้างความเจริญให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี
แล้วยังซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้เป็นปกติอีกด้วย
เนื้อปลามีโปรตีนที่เหมาะสมกับร่างกายมาก โดยในเนื้อปลามีโปรตีนที่อุดมไปด้วย
กรดอะมิโนที่จำเป็นที่จะมีส่วนช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรค
ไม่เป็นคนที่อ่อนเพลียง่าย ช่วยให้อสุจิเป็นปกติ สร้างระบบสมองให้ดี
ทำให้ระบบย่อยเป็นปกติ ไม่ทำให้เครียด ไม่ทำให้แก่ก่อนวัยอันควร
สร้างผิวพรรณให้ผ่องใส มีน้ำมีนวลอยู่เสมอ<a name='more'></a></span></div>
<ul>
<li><strong>การกินปลาสามารถป้องกันโรคหัวใจได้</strong>
คำกล่าวนี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์หลายชาติได้พยายามที่จะหาข้อพิสูจน์
โดยจากข้อสันนิษฐานเริ่มต้นที่ว่า คนในประเทศที่กินปลามาก ๆ เช่น
ชาวเอสกิโมแถวกรีนแลนด์ พวกอเมริกันท้องถิ่น แถวตะวันตกเฉียงเหนือ ชาวญี่ปุ่น
เป็นต้น มีอัตราการเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าประเทศที่กินปลาน้อย
จากการศึกษาวิจัยก็พบข้อมูลว่าผู้ที่ป่วยด้วยโรคหัวใจแล้วกินแคปซูลน้ำมันปลา
ที่มีสาร <strong>โอเมก้า ทรี (omega -3)</strong>
จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะมีหัวใจวายครั้งที่สองถึงร้อยละ 17</li>
</ul>
<ul>
<li><strong>การกินปลาทำให้สมองดี</strong>
คำกล่าวนี้มาจากการที่ปลาทะเลบางชนิดจะมี<strong>สาร ดี เอช เอ (DHA)</strong> สูง
ซึ่งสาร ดี เอช เอ นั้นเป็นสารที่มีความจำเป็นสำหรับพัฒนาการทางสมอง
การทำหน้าที่ของสมองอย่างถูกต้อง เราจะพบสาร ดี เอช เอ มากในปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน
ปลาหางเหลือง ปลาซาร์ดิน ไข่ของปลาทูน่า ปลาเทร้า เป็นต้น</li>
</ul>
<ul>
<li>นอกจากการกินปลาจะมีประโยชน์เด่น ๆ
ในเรื่องของการให้สารอาหารโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกาย ประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจ
และช่วยในการพัฒนาการของสมอง จากสาร ดีเอชเอ แล้ว
<strong>ปลายังมีประโยชน์ในด้านอื่นอีกมาก</strong> เช่น <span style="text-decoration: underline;">ปลาทะเลมีสารไอโอดีน
ช่วยป้องกันให้ไม่เป็นโรคคอพอก เนื้อปลาย่อยง่าย ไขมันน้อยทำให้ไม่อ้วน
การรับประทานปลาเล็กปลาน้อยจะให้แคลเซียมสูงป้องกันโรคกระดูกผุ กระดูกพรุน</span>
และอื่นๆอีกมากมาย</li>
</ul>
ที่มา : สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-52258897024381737522012-06-20T04:17:00.001-07:002012-06-20T04:17:35.367-07:00ประโยชน์ของเวย์โปรตีนที่มากมาย<br />
<span style="font-family: Tahoma;">คุณเคยสงสัยบ้างใหมว่าทำไม นักกีฬา มีการพูดถึง
<strong>เวย์โปรตีน</strong> กันมาก และทำไม
เวย์โปรตีนเป็นผลิตภัณท์ที่นักเพราะกายนิยมใช้ นั้นก็เป็นเพราะว่า เวย์โปรตีน
เป็นแหล่งอาหารที่สมบูณ์ แบบธรรมชาติ และง่ายต่อการใช้เป็นอาหารเสริม
และทำให้การทำงานของร่างกาย ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายระดับ
เวย์โปรตีนเป็นทางเลือกอันดับแรกของอาหารเสริมสำหรับนักกีฬา และ นักเพาะกาย
เพราะไม่เพียง แต่เป็นแหล่งอาหารที่ดีของ<strong>โปรตีน </strong>แต่ยังมีไขมันต่ำมากๆด้วย</span><br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">สำหรับ<strong>โปรตีน</strong>บางประเภทเหมาะในการลดน้ำหนัก แต่สำหรับ<strong>เวย์โปรตีน</strong>แล้ว จะมีส่วนช่วยในการ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ด้วย
ซึ่งจะมีความแตกต่างจากคาร์โบไฮเดรต และจะไม่มีการเปลี่ยนไปเป็นไขมันแต่อย่างได
และท้ายที่สุดคุณจะพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้อย่างแน่นอน</span><br />
<br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">เวย์โปรตีนเป็นโปรตีนที่ได้มาจากนม
และมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ผลการศึกษาได้บอกไว้ว่า<strong> เวย์โปรตีน</strong>ทำหน้าที่ต่อต้านแบคทีเรีย และไวรัส
อีกทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้ความดันโลหิตเป็นปกติ
นอกเหนือจากประโยชน์เหล่านี้แล้ว เวย์โปรตีนยังมีคุณ สมบัติทางชีววิทยา นั้นคือ
มีส่วนประกอบของ แลคโตไพลิน </span>(
lactoferrin ) <span style="font-family: Tahoma;">และ อิมมูโนโกลบุลิน </span>( immunoglobulins ) <span style="font-family: Tahoma;">ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันโรค ข้อดีก็คือ
ระบบภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เวย์โปรตีนยังมีความสามารถในการแปลงกรดอะมิโนกลูตาไธโอนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระให้ทำงานได้อย่างประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกเช่นกัน</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><strong>เวย์โปรตีน </strong>เป็นโปรตีนที่ละลายในน้ำ ด้วยเหตุนี้เอง
จึงสามารถย่อยเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย และสามารถทดแทน
สารอาหารที่เสียไปหลังการบาดเจ็บ หรือหลังการออกกำลังกาย
เวย์โปรตีนจะมีรสชาติค่อนข้างจืด ด้วยเหตุนี้เอง
จึงทำให้เพิ่มลงไปในเครื่องดื่มได้อย่างลงตัว</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">เวย์คือ
ของเหลวที่ได้มาจากนม หลังจากที่นม เกิดการแข็งตัวแล้ว
ถ้าคุณเคยเห็นหรือมีประสบการณ์ในการทำ ซีส คุณจะเห็น เหลวเหลว สีฟ้า เขียวไหล
ออกมานั้นก็เวย์โปรตีน เวย์คือ<strong>โปรตีน</strong>คุณภาพสูงที่สามารถหาได้จาก ผลิตภัณท์ดังต่อไปนี้
<strong>โปรตีน</strong>เช็ค ผลิตภัณท์นม อาหารแปรรูป จริงๆแล้ว
เวย์<strong>
อาหารเสริม</strong>
มีอยู่มากมายไม่ว่าจะในรูปแบบของ ไฮไดรสเลท </span>( hydrolysate ) <span style="font-family: Tahoma;">และ ไฮโดรไลซ์
<strong>โปรตีน</strong> </span>(
hydrolized <strong>protein )</strong><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-size: medium;">หน้าที่ของเวย์โปรตีน </span></span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">เวย์โปรตีน
จะมีการบริโภคกันอย่างกว้างขวางในรูปแบบอาหารลดน้ำหนัก และอื่นๆ
สำหรับในประเทศไทยแล้ว<strong>
เวย์โปรตีน</strong>
ถูกใช้กันอย่างกว้างขวาง สำหรับ รักษาโรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน ไวรัสตับอักเสบบี
และโรคมะเร็ง นอกจากนี้แล้วยังมีประโยชน์มากมายในวงการกีฬา</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-size: medium;"><strong>วิทยาศาสตร์กับประโยชน์ ทางสุขภาพของ
เวย์</strong></span></span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">แม้ว่าในทางวิทยาศาสตร์
จะมีการสนับสนุนน้อยมากกับเรื่องที่ว่า <strong>เวย์ โปรตีน ใ</strong>ห้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย
แต่ก็มีการค้นพบสิ่งที่น่าสนใจ บางเรื่องดังต่อไปนี้ </span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">ผลการศึกษาพบว่า
เวย์โปรตีนมีประโยชน์ต่อหัวใจมากอีกทั้งยังช่วยรักษาระดับความดันเลือด
ซี</span><strong>-</strong><span style="font-family: Tahoma;">รีแอคทีฟ
<strong>โปรตีน</strong> </span><strong>(C-reactive protein ) </strong><span style="font-family: Tahoma;">และ แอลดีแอล
คอเลสโตรลอน </span><strong>(LDL
cholesterol ) </strong><span style="font-family: Tahoma;">จากการศึกษาที่ผ่านมากับ คนไข้ที่มีความดันเลือดสูง
</span><strong>30 </strong><span style="font-family: Tahoma;">คน ในปี
</span><strong>2006 </strong><span style="font-family: Tahoma;">พบว่า
หลังจากเวลาผ่านไป </span><strong>6
</strong><span style="font-family: Tahoma;">อาทิตย์ คนใข้ที่บริโภค เวย์โปรตีน
จะมีระดับน้ำตาลและความดันลดลง
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในของสาเหตุการเป็นโรคหัวใจ</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">จากงานการวิจัย พบว่า <strong>เวย์โปรตีนอาหารเสริม </strong>ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายได้ดียิ่งขึ้น
อันที่จริงแล้ว เวย์โปรตีนอาหารเสริม
สามารถช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดี</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">นอกจากนั้นยังมีส่วนช่วยในการสร้างกระดูก
และช่วยป้องกันให้กระดูกแข็งแรงแยู่เสมอ ป้องกันการเป็นโรคกระดูกพรุน
</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-size: medium;"><strong>แล้วเวย์โปรตีนเหมาะกับคุณหรือไม่</strong></span></span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">จากงานวิจัย
ซึ่งในเวลานี้ยังขาดข้อมูลยืนยันที่เพียงพออยู่ ระบุไว้ว่า
ไม่แนะนำให้ใช้เวย์โปรตีน ในการรักษาหรือป้องกัน โรคเกี่ยวกับสุขภาพทางร่างกาย
รวมไปถึง โรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ แต่สามารถบริโภคเวย์โปรตีน เพื่อช่วยบำรุงร่างกาย
ก่อนที่จะเริ่มบริโภคเวย์โปรตีน ควรปรึกษาแพทย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้าน
โภชนาการอาหารก่อน</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-size: medium;"><strong>ประโยชน์ของเวย์โปรตีน
</strong></span></span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">การเผาผลาญไขมัน </span>: <span style="font-family: Tahoma;">หนึ่งในความสำคัญของ<strong>โปรตีน </strong>ที่มีอยู่ จะช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้
นี้คือเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้นักกีฬา และ
นักเพราะกายเลือกที่จะบริโภค<strong>
เวย์โปรตีนอาหารเสริม</strong>
ซึ่งพวกเขาต้องการปริมาณโปรตีนต่อวันมากกว่าคนปกติทั่วไป เวย์โปรตีน
จะมีการย่อยสลายได้ง่าย</span><br />
<br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">การเผาผลาญของโปรตีนเป็นกระบวนการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับการเผาผลาญของคาร์โบไฮเดรต
ในช่วงที่ร่างกายการเผาผลาญเวย์โปรตีน จะสามารถเผาผลาญปริมาณของแคลอลี่ได้มาก
ซึ่งส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนที่ลดความอยากอาหารลง ด้วยเหตุนี้ นี้เอง ไม่ว่า
คุณจะรับประทานอาหารที่น้อยกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณรู้หิว นี้เป็นเหตุผลที่ว่า
<strong>เวย์โปรตีน </strong>ช่วยในการเผาผลาญไขมันได้ดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">เวย์อุดมไปด้วย กรดอะมิโนที่จำเป็นและยังเป็นแหล่ง
ห่วงโซของกรดอะมิโนอีกด้วย เวย์ประกอบไปด้วย เลอซีน </span>(Leucine ) <span style="font-family: Tahoma;">ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ แม้ว่า เลอซีน
</span>(Leucine ) <span style="font-family: Tahoma;">จะมีอยู่ใน ไข่ขาว
โปรตีนถั่วเหลือง และ เคซิอิน แต่ปริมาณของโปรตีนยังน้อยกว่า เวย์
อยู่ดี</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">สำหรับผู้ที่อยู่ในระหว่างการออกกำลังกายอย่างหนัก
เวย์โปรตีนจะช่วยในการทดแทน กลูตาไธโอนที่ร่างกายสูญเสียไป</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">กลูตาไธโอน
คือ สารต้านอนุมุลอิสระ ไตรเพปไทด์ </span>(tripeptide ) <span style="font-family: Tahoma;">ซึ่งจะลดลงหลังจากที่ออกกำลังกายหนัก <strong>เวย์โปรตีน ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ทดแทน
</strong>กลูตาไธโอน
ที่ร่างกายสูญเสียไปเท่านั้น
ยังช่วยให้ระบบทำงานของภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย<strong> เวย์โปรตีน</strong>ช่วยในการรักษาแผลให้หายได้เร็วยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้เองจึ่งได้ข้อสรุปเพิ่มเติมว่า
เวย์โปรตีนช่วยในการเจริญเติบโตของผิวหนัง</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">เวย์โปรตีนช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
มันเป็นอาหารเสริมชั้นยอดถ้าคุณต้องการ จำกัด
กล้ามเนื้อและการสูญเสียกระดูกเนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งเหมาะสำหรับบุคคลที่มีอายุ </span>40
<span style="font-family: Tahoma;">ปีขึ้นไป เวย์โปรตีนเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเด็ก
อีกด้วย ซึ่งไม่ส่งผลกระทบข้างเคียงใดๆเลย แม้แต่นักกีฬาและนักเพราะกาย
ต่างยืนยังว่า เวย์โปรตีนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขา เนื่องมาจาก เวย์โปรตีน
เป็นอาหารเสริมแบบธรรมชาติ เหมาะสำหรับ บุคคลที่ต้องการอาหารเสริมแบบธรรมชาติและ
<strong>อาหารเสริมสุขภาพ</strong>ในเวลาเดียวกัน</span><br />
<br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-size: medium;"><strong>อันตรายจากเวย์โปรตีน</strong></span></span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">ปริมาณที่แนะนำสำหรับอาหารเสริมเวย์โปรตีนจะต้องไม่บริโภคเกิน
</span>2-3 <span style="font-family: Tahoma;">ช้อนชา ต่อวัน
แต่สำหรับนักกีฬา หรือ ผู้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมแบบพิเศษ
และไม่เคยมีผลกระทบเกี่ยวกับบริมาณการบริโภคเวย์โปรตีนมาก่อน
คนกลุ่มนี้สามารถบริโภคได้ </span>5 – 6
<span style="font-family: Tahoma;">ช้อนชา
ต่อวัน แต่ถ้าร่างกายมีปริมาณ<strong>โปรตีน</strong>มากเกินไปก็จะส่งผลเสียต่างๆตามมาเช่น ท้องเสีย ท้องอืด
และไตวายได้</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><strong>เวย์โปรตีน </strong>มีประโยชน์อย่างมหาศาล แต่
ต้องบริโภคให้สมควรกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน มีหลายคนที่รับประทาน
อาหารเสริมเวย์โปรตีนทดแทนอาหารในแต่ละมื้อ
ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
สำหรับบุคคลที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแพ้โปรตีน หรือ แพ้ โปรตีนจากนมนั้นคือ แลคโต๊ส
ไม่ควรจะบริโภค <strong>เวย์โปรตีนอาหารเสริม</strong></span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">ซึ่งบุคลดังกล่าวข้างต้นร่างกายของพวกเขาจะไม่สามารถย่อยสลาย<strong>เวย์โปรตีน</strong>ได้ และถ้าไม่มีการย่อยเวย์โปรตีนเกิดขึ้น
อาจส่งผลอันตรายต่อระบบการทำงานของร่างกายได้เช่น ปวดกระเพาะอาหาร ท้องอืด หรือ
แม้แต่ ท้องล่วง และในบางคนอาจทำให้ เกิดการอักเสบหรือเป็นผืนคันได้
และปริมาณโปรตีนที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อไต
ดังนั้นจึงไม่ควรบริโภคเวย์โปรตีนในปริมาณที่มากเกินไป ปริมาณที่เหมาะสม
จะเป็นผลดีต่อร่างกาย ถ้าคุณพึ่งเริ่มต้นบริโภค <strong>เวย์โปรตีนอาหารเสริม </strong>คุณควรเริ่มจากปริมาณที่น้อยๆก่อนและสังเกตุความเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณ</span><br />
<br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-size: medium;"><strong>วิธีที่ถูกต้องของการบริโภคเวย์โปรตีน</strong></span></span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><strong>เวย์โปรตีน </strong>เป็นอาหารที่ช่วยในการลดน้ำหนักของคุณได้อย่างดีเยี่ยม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นคนรับประทาน มังสวิรัติ จากประโยชน์ที่หลายหลาย
ไม่ว่าจะช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ระบบภูมิคุ้มกัน เวย์โปรตีน
ทำให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เวย์โปรตีน เป็นทางเลือกที่ดี
นั้นก็เป็นเพราะว่า ให้<strong>สารอาหารครบถ้วน</strong> และก็ไม่เพิ่ม ปริมาณ คลอเรสเตอรอล ไขมัน
หรือน้ำตาลแลคโต๊สให้กับร่างกายแต่อย่างได</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><strong>เวย์โปรตีนอาหารเสริม</strong> มีในรูปแบบแป้งหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป
ซึ่งมีหลายกลิ่น หลายรสชาติให้เลือกอย่างมากมาย ทั้งนี้คุณสามารถผสมรวมกับ นม หรือ
ผสมกับ มะม่วง ปั่น กล้วยปั่น ก็ได้ หลายคนชอบผสมกับนม เพื่อได้รสชาติที่ดียิ่งขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น คุณยังสามรถผสมลงไปในโยเกิ๊ตได้อีกด้วย</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">การรับประทานเวย์โปรตีนทำได้ง่ายมาก
คุณสามารถรับประทานได้เลย ปริมาณการรับประทานประมาณ </span>2 <span style="font-family: Tahoma;">ช้อนชา หรือ คุณอาจจะผสมน้ำลงไปก่อนเล็กน้อยก็ได้
หรือคุณสามารถแปรรูปให้น่ารับประทานยิ่งด้วยด้วยการทำเป็นพุดเดิ้ลเค้กก็ได้<strong> เวย์โปรตีน </strong>สามารถใส่ลงไปใน คุ๊กกี้ เค้ก ซีสเค้ก พาย หรือ
ขนมหวานแช่แข็งทั่วไป</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;"><strong>ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรับประทานเวย์โปรตีน</strong></span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">เวย์โปรตีนเป็นอาหารเสริมชั้นยอดสำหรับคนที่ต้องกายมีร่างกายที่แข็งแรง
และยังมีกรดอะมิโนที่จำเป็นในการสร้างกล้ามเนื้อ
และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอในเวลาเดียวกัน
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรับประทาน<strong>เวย์โปรตีน</strong>ก็คือ ตอนเช้า
รับประทานไปพร้อมกับอาหารเช้า</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">แต่ถ้าคุณเป็นนักกีฬา นักพราะกาย
หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวกับการสร้างกล้ามเนื้อ คุณจะต้องรับประทาน<strong>โปรตีน</strong>นี้หลังจากออกกำลังกายเสร็จด้วย เพราะช่วงนี้
จะเป็นช่วงที่ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อทดแทนเนื้อเยื่อที่สึกหรอไป
ถ้ารับประทาน<strong>เวย์โปรตีน
</strong>ทันทีหลังการออกกำลัง
จะช่วยสร้างเนื้อเยื่อทดแทนเนื้อเยื่อที่ฉีกขาดไปในระหว่างการออกกำลังกายได้ดียิ่งขึ้น</span><br />
<br />
<span style="font-family: Tahoma;">การรับประทานเวย์ เป็นอาหารว่าง หรือ
เป็นอาหารมื้อสุดท้ายของในวันก็จะได้รับประโยชน์มากมายเช่นกัน
นั้นก็เป็นเพราะว่าโปรตีนจะทำงานได้ดี
ในเวลาที่ร่างกายของคนเราอยู่ในช่วงการผักผ่อน หรือนอนหลับ</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"><br /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ที่มา: </span><span style="background-color: white;"><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://th.phukethealthshop.com/2011/04/03/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97/" rel="nofollow">http://th.phukethealthshop.com</a></span></span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-27799119557458019992012-06-20T04:13:00.001-07:002012-06-20T04:13:14.228-07:00ประโยชน์โปรตีนจากเนื้อปลา<br />
- ช่วยในเรื่อง<strong>การลดน้ำหนัก</strong> ในปี 1999
จากผลการวิจัยจากออสเตรเลียพบว่า การบริโภคเนื้อปลาที่มี<strong>โอเมก้า3</strong>
สูง เช่น <strong>ปลาทูน่า</strong> <strong>ปลาแซลมอล</strong>
จะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น<br />
- ช่วย<strong>บำรุงสมอง</strong> จากผลวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่า
<strong>กรดไขมันดีเอชเอ</strong> (DHA) ในโอเมก้า3 มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง
โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับความจำและการเรียนรู้<br />
<a name='more'></a><br />
- ช่วย<strong>ลดความเครียด</strong> Archives of General Psychiatry
จากการวิจัยเกี่ยวกับ<strong>น้ำมันปลา</strong>
พบว่าสามารถลดระดับความเครียดในผู้ป่วยโรคประสาท ที่มีอารมณ์รุนแรง
ทำให้มีอารมณ์ที่เยือกเย็นลงได้<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-d1ehUKlx9k4/T-GwJ05bgLI/AAAAAAAAEbg/De-qXavwHUw/s1600/fish.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="240" src="http://3.bp.blogspot.com/-d1ehUKlx9k4/T-GwJ05bgLI/AAAAAAAAEbg/De-qXavwHUw/s320/fish.jpg" width="320" /></a></div>
- ช่วย<strong>บรรเทาอาการซึมเศร้า</strong>
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่า การขาดโอเมก้า3
ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อสมอง อาจเป็นสาเหตุทำให้คนเกิดอาการซึมเศร้า
สมาธิสั้น และขาดความสามารถในการอ่านหนังสือได้<br />
- ช่วย<strong>บรรเทาอาการของโรคไขข้ออักเสบ</strong> จากผลการวิจัยในช่วง10
ปีที่ผ่านมา ได้พบว่า น้ำมันปลาช่วยบรรเทาอาการ ของผู้ป่วยที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ
ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้ยาบางส่วนลงไปได้<br />
- ช่วย<strong>ลดการอักเสบของโรคผิวหนัง</strong> จากการศึกษาวิจัยได้ระบุว่า
การบริโภทปลาที่มีไขมันมาก จะช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนัง
อย่าง<strong>สะเก็ดเงิน</strong> (เรื้อนกวาง)
เพราะเนื้อปลามี<strong>วิตามินดี</strong>จากกรดไขมันโอเมก้า 3
ในปริมาณที่มากนั่นเอง<br />
- ช่วย<strong>ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ</strong> จากการวิจัยในปี 1998 ได้พบว่า
การบริโภคปลาอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความดันโลหิต
ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจลดลงได้ นอกจากนั้น
จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยโอเรกอนยังระบุอีกว่า
ในไขมันปลามี<strong>กรดไขมันอีพีเอ</strong> (EPA)
ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า3 ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด
และช่วยลดระดับ<strong>ไตรกลีเซอไรด์</strong>ลงได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ
ของ<strong>โรคหลอดเลือดหัวใจ</strong>ด้วยเช่นกัน<br />Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-20502912125086372462012-04-28T01:30:00.000-07:002013-03-24T04:03:07.966-07:00ทำอย่างไรจะพบคนเก่งอยู่ในองค์กร (How to Identify the Talent Employee)<span style="font-size: 11pt;">พอตั้งคำถามในลักษณะนี้แล้ว
บางท่านอาจจะคิดถึงระบบต่างๆที่จะต้องนำมาปรับใช้ในองค์กรมากมาย
หรือคิดถึงว่าต้องเป็นบริษัทใหญ่ๆเท่านั้นที่เขาทำกัน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เรื่องยากสำหรับองค์กรเล็กๆ
และไม่จำเป็นที่ต้องเป็นบริษัทใหญ่ๆที่ได้มาตรฐานเท่านั้นที่จะต้องค้นพบคนเก่งได้
องค์ กรเล็กๆ มีพนักงานในองค์กรไม่ถึง </span><span style="font-size: 11pt;">100
คนก็สามารถค้นพบคนเก่งในองค์กรได้เช่นกัน
ยิ่งองค์กรที่ยังไม่มีระบบแนวปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนแล้ว
ยิ่งต้องให้ความสำคัญในการรักษาคนดีเอาไว้ในองค์กร มิฉะนั้นแล้วจะทำให้คนที่ดีๆ
ที่มีอยู่ในองค์กรจะอยู่ไม่ได้ บางท่านก็อาจจะมีคำถามต่อไปอีกว่า
ถ้าเป็นองค์กรเล็กๆ จะมีวิธีการดู คนเก่ง คนดีอย่างไร
บางครั้งผู้บริหารก็ไม่ได้ลงมาดูพนักงานทุกวัน บางคนอาจจะทำดีโดยเฉพาะต่อหน้าก็ได้
พอลับหลังผู้บริหารก็จะกลับกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งก็ได้</span><br />
<a name='more'></a><strong> </strong><br />
<div>
<span style="font-size: 11pt;">สำหรับในส่วนนี้ต้องมีเทคนิคประสบการณ์
ในการบริหารจัดการเรื่องคนไว้บ้าง
เพื่อป้องกันพนักงานหลอกใช้ชื่อผู้บริหารไปในทางที่ผิด
จากที่ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์การบริหารคนมาพอสมควร จะมีตัวอย่างให้เห็นว่า
มีบริษัทแห่งหนึ่ง มี พนักงานระดับเจ้าหน้าที่ธุรการ อ้างว่ามีความสนิทสนมกับ
ผู้บริหารระดับผู้ถือหุ้นบริษัท
จะอ้างว่าที่มาทำงานที่นี่ก็เพราะว่าผู้บริหารให้มาคอยดูแลองค์กรให้
พนักงานท่านนี้ก็ได้บอกกับคนอื่นทั่วทั้งองค์กรไปหมด
จนพนักงานและหัวหน้ามีความเชื่อได้ว่ามีความสนิทสนมจริง
โดยในทางปฏิบัติผู้บริหารไม่ได้มีความสนิทอย่างที่กล่าวอ้างอย่างที่พนักงานได้บอกกับผู้อื่นแต่อย่างใด
ที่ได้รู้จักเพราะว่าได้มีโอกาสเข้าไปดูแลเรื่องสถานที่ใกล้ชิด เท่านั้นเอง
เมื่อมีการประชุมผู้บริหารที่บริษัททุกครั้ง
พนักงานท่านนี้จะเป็นผู้ที่คอยรับอาสาคอยดูแลผู้บริหารเป็นกรณีพิเศษทุกครั้ง
ไม่ว่าจะดึกดื่นขนาดไหนก็ตาม จนทำให้ผู้บริหารบางท่านออกปากเสมอว่า
เมื่อไม่เห็นหน้าพนักงานดังกล่าวจะถามถึงว่า ทำไมน้องคนนั้นไม่มา หายไปไหน
จนทำให้ผู้จัดการและผู้บริหารที่กำกับดูแลสายงานของพนักงานที่อยู่ในสายธุรการ
เกิดความเกรงใจ เมื่อพนักงานคนดังกล่าวทำงานผิดพลาด
หรือกระทำความผิดระเบียบบริษัทก็ไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือน เหมือนพนักงานทั่วไป
และแถมยังพูดกับพนักงานท่านอื่นอีกว่า เขาเป็นเด็กนายใหญ่
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผู้บริหารระดับสูงก็ไม่ได้สั่งการหรือพิจารณาพนักงานธุรการท่านนั้นเป็นกรณีพิเศษเลย
แต่ผู้บริหารที่กำกับดูแลสายงานก็ปล่อยให้พนักงานดังกล่าวพูดและปฏิบัติงานไม่ถูกต้องตามระเบียบบริษัท
ในองค์กรที่ยังไม่มีระบบบริหาร ตัววัดความสำเร็จของงานอย่างชัดเจน
ต้องมีทักษะการบริหารอย่างมืออาชีพ
ดูแลพนักงานทุกคนอย่างมีความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกันทุกคน
ถ้ามีการกระทำความผิดอย่างเดียวกัน ต้องถูกลงโทษที่เหมือนกัน
ดังตัวอย่างที่ผู้เขียนได้ยกขึ้นมาให้ได้เห็นพฤติกรรม ของพนักงาน ธุรการ
ถ้าผู้บริหารองค์กร ยังปล่อยให้พนักงานเป็นในลักษณะเช่นนี้อีก
ก็จะยิ่งทำให้องค์กรเลื่อมลงไปเรื่อยๆ คนที่เป็นคนเก่งและ คนดี
ก็จะอยู่ในองค์กรไม่ได้
เพราะรับไม่ได้กับการบริหารจัดการในลักษณะเช่นนี้</span></div>
<div>
<span style="font-size: 11pt;">จึงได้มีคำกล่าวที่ว่า
ถ้าองค์กรยังไม่มีระบบการดูแลคนและลงโทษคนที่ไม่ดี
ให้ผู้บริหารรักษาคนที่ดีเอาไว้ก่อน แต่ก็จะมีคำถามต่อไปอีกว่า
จะมีวิธีการดูแลคนดีอย่างไรในเบื้องต้น คนดีมีลักษณะอย่างไร
ซึ่งผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างคำจัดกัดความ คนดี ของ ท่าน พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ได้พูดถึงคนดีไว้
</span><span style="font-size: 11pt;">10 ประการ</span></div>
<div>
<span style="font-size: 11pt;"><strong><u>คนดี</u>
(</strong></span><strong><span style="font-size: 11pt;">The
Noble)</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">1. ต้องเป็นคนมีน้ำใจ
(</span></strong><strong><span style="font-size: 11pt;">Considerate)</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">2. ใฝ่หาความรู้
(</span></strong><strong><span style="font-size: 11pt;">In constant search of
knowledge) </span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">3. มีความวิริยะอุตสาหะ
(</span></strong><strong><span style="font-size: 11pt;">Persevering)</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">4. มีความเป็นธรรม
(</span></strong><strong><span style="font-size: 11pt;">Fair)</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">5. เห็นแก่ส่วนรวม
(</span></strong><strong><span style="font-size: 11pt;">Concern for others as a
whole)</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">6. รู้หน้าที่ในงาน ในครอบครัว
และในสังคม </span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">(</span></strong><strong><span style="font-size: 11pt;">Mindful of duties toward family and
society</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">7. มีทัศนคติที่ดี
(</span></strong><strong><span style="font-size: 11pt;">Right
attitude)</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">8. มีวินัย และมีสัมมาคารวะ
(</span></strong><strong><span style="font-size: 11pt;">Well disciplined
</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">and courteous)</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">9. มีเหตุผล
(</span></strong><strong><span style="font-size: 11pt;">Logical)</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">10.
รักษาชื่อเสียงทั้งของตัวเองและของบริษัท</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">(</span></strong><strong><span style="font-size: 11pt;">Upholding own and company's image)</span></strong></div>
<div>
<span style="font-size: 11pt;">คนดีสิบประการของ คุณพารณ
บริษัทที่เป็นองค์กรเล็กๆ สามารถดัดแปลงนำไปใช้ในการประเมินผลพนักงานในปลายปี
ผู้เขียนเคยนำไปประกอบการพิจารณาการคัดเลือกพนักงานดาวเด่นในองค์กร
โดยบรรจุเข้าไว้ในการประเมินเป็นหัวข้อแรก ถ้าพนักงานไม่ผ่านในหัวข้อนี้
ก็จะถูกตัดสิทธิ์ในการประเมินในหัวข้อถัดไป ซึ่งหลักเกณฑ์การพิจารณาพนักงานที่เป็น
Talent ขององค์กร
จะต้องประกาศใช้ให้พนักงานทั่วทั้งองค์กรได้รับทราบโดยทั่วกันว่า
พนักงานที่เข้าข่ายที่เป็น Talent ขององค์กรจะต้องถูกประเมินในหัวข้อดังนี้
</span></div>
<div>
<span style="font-size: 11pt;">โดยคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพพนักงาน
จะเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติของพนักงาน
ซึ่งโดยทั่วไปจะกำหนดอายุการทำงานของพนักงานอย่างน้อย </span><span style="font-size: 11pt;">3 ปีขึ้นไป จะถูกเสนอเข้ามาเป็นพนักงานที่มีศักยภาพสูง
สาเหตุที่ต้องมีอายุงานอย่างน้อย 3 ปี
ก็เพราะว่าในช่วงเริ่มต้นพนักงานทำงานมาทำงานใหม่ๆ ยังไม่สามารถบอกได้ว่า
พนักงานจะเป็นคนดีที่แท้จริง
ต้องมีการเก็บข้อมูลการประเมินผลงานย้อนหลังประกอบการพิจารณา
เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ได้ว่าพนักงานมีการปฏิบัติงานดี มีความอย่างสม่ำเสมอ
ตามหัวข้อด้านล่าง</span></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">1.</span></strong><span style="font-size: 11pt;"> <a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=376964430796437485" name="OLE_LINK1"><strong><u>Personal
Characteristics</u></strong></a></span></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: 11pt;">•<span style="font-size: 7pt;">
</span></span><strong><span style="font-size: 11pt;">การยึดมั่นในอุดมการณ์ของบริษัท</span></strong></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: 11pt;">•<span style="font-size: 7pt;">
</span></span><strong><span style="font-size: 11pt;">การประกอบธุรกิจอย่างมีจริยธรรม</span></strong></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: 11pt;">•<span style="font-size: 7pt;">
</span></span><strong><span style="font-size: 11pt;">การประพฤติปฏิบัติอย่างสุจริตและมีคุณธรรม</span></strong></div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">2. <u>Leadership
Characteristics</u></span></strong></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: 11pt;">•<span style="font-size: 7pt;">
</span></span><span style="font-size: 11pt;"><strong>ความเป็นผู้นำและการสร้างทีมงาน</strong></span></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: 11pt;">•<span style="font-size: 7pt;">
</span></span><strong><span style="font-size: 11pt;">ความมีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์เชิงธุรกิจ</span></strong></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: 11pt;">•<span style="font-size: 7pt;">
</span></span><strong><span style="font-size: 11pt;">ความสามารถที่จะทำงานในสภาวะกดดัน</span></strong></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: 11pt;">•<span style="font-size: 7pt;">
</span></span><strong><span style="font-size: 11pt;">ความยืดหยุ่นและการปรับตัว</span></strong></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 18pt;">
</div>
<div>
<strong><span style="font-size: 11pt;">3.<u> Managerial
Characteristics</u></span></strong></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: 11pt;">•<span style="font-size: 7pt;">
</span></span><strong><span style="font-size: 11pt;">ความสามารถในการใช้ดุลยพินิจและการตัดสินใจ</span></strong></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: 11pt;">•<span style="font-size: 7pt;">
</span></span><strong><span style="font-size: 11pt;">ความสามารถเชิงวิเคราะห์และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่</span></strong></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: 11pt;">•<span style="font-size: 7pt;">
</span></span><strong><span style="font-size: 11pt;">ความรอบรู้และจิตสำนึกด้านการตลาด</span></strong></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 0pt 36pt; text-indent: -18pt;">
<span style="font-size: 11pt;">•<span style="font-size: 7pt;">
</span></span><strong><span style="font-size: 11pt;">ความมุ่งมั่นสู่ประสิทธิภาพและผลสำเร็จ</span></strong></div>
<div>
<span style="font-size: 11pt;">จะเห็นได้ว่าในหัวข้อแรกของการเมิน ด้าน
</span><u><span style="font-size: 11pt;">Personal Characteristics</span></u><span style="font-size: 11pt;">
หัวข้อย่อยเรื่องการประพฤติปฏิบัติอย่างสุจริตและมีคุณธรรม จะนำเรื่องหัวข้อของคนดี
</span><span style="font-size: 11pt;">10 ประการมาเป็นตัวประเมินผลด้วย
ถ้าไม่ผ่านในหัวข้อแรกนี้
พนักงานดังกล่าวจะไม่มีสิทธิประเมินในหัวข้อถัดไปอีกได้เลย
การประเมินทั้งสามหัวข้อจะเป็นการประเมินศักยภาพที่เข้มข้น
โดยเริ่มตั้งแต่หัวข้อแรก ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่นำเสนอคือ
ฝ่ายทรัพยกรบุคคลกับผู้จัดการสายงานที่รับผิดชอบ
จะมีผู้พิจารณากลั่นกรองพนักงานดังกล่าวว่าผู้ที่ได้ผ่านการคัดเลือกว่ามีใครบ้างหลังจากนั้น
จะนำรายชื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคุณสมบัติในหัวข้อที่ 2
<strong><u>Leadership Characteristics</u></strong>
โดยคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพที่ถูกแต่งตั้งขึ้นโดย กรรมการผู้จัดการบริษัท
เป็นผู้พิจารณา ถ้าพนักงานที่ผ่านการพิจารณาในกรรมการชุดนี้แล้วจะใส่อักษรย่อว่า
<strong>A </strong>ซึ่งย่อมาจาก <strong><u>ACCEPTABILITY</u>
</strong>ผ่านการยอมรับจากหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะมีการประสานงาน
การสร้างความสัมพันธ์ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งหัวข้อนี้จะเน้นเรื่องของการ
<strong>เก่งคน</strong> ถ้าจะมีการปรับระดับพนักงานขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นจะต้อง
ผ่านการประเมินในหัวข้อที่ 3 คือ <strong><u>Managerial
Characteristics</u></strong> ซึ่งในหัวข้อนี้จะมุ่งเน้นไปที่
การบริหารจัดการให้งานประสบความสำเร็จ การ<strong> เก่งงาน</strong>
มีความมุ่งมั่นให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย สามารถควบคุมการจัดระบบงาน การมองการณ์ไกล
และการสร้างงานใหม่ เมื่อผ่านการประเมินจากคณะกรรมการแล้วให้ใส่อักษรย่อว่า
<strong>C</strong> ซึ่งย่อมาจาก
<strong><u>CAPABILITY</u></strong></span></div>
<div>
<span style="font-size: 11pt;">จากกระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเป็น
วิธีการหรือแนวปฏิบัติ ที่สามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็นนัก โดยเฉพาะบริษัทเล็ก ๆ
ที่เป็น SME ก็สามารถพัฒนารูปแบบในลักษณะนี้ โดยพิจารณาในกลุ่มเล็กๆ
จะมีความชัดเจนและง่ายต่อการพิจารณากว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่มีพนักงานเข้าเกณฑ์ปีละมากๆ
ก็จะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้
กล่าวโดยสรุปพนักงานที่ผ่านการประเมินจากคณะกรรมการ จะประกอบไปด้วย <strong>C , A
,CA</strong> องค์กรจะพิจารณาพนักงานที่ได้รับการประเมินศักยภาพ CA ก่อน ซึ่งจะถูก
Promote ขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น สำหรับพนักงานที่ถูกประเมินเป็น C และ A
ก็จะต้องพัฒนาศักยภาพขึ้นให้ได้เป็น CA
จึงจะได้พิจารณาเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นต่อไป</span></div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div>
</div>
<div style="text-indent: 36pt;">
<em><span style="font-size: 11pt;">ผู้เขียน
<strong>กฤติน กุลเพ็ง </strong>ประสบการณ์ </span></em><strong><em><span style="font-size: 11pt;">25 ปี ทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาองค์กร
</span></em></strong><strong><em><span style="font-size: 11pt;">เชี่ยวชาญ</span></em></strong><strong><em><span style="font-size: 11pt;">การ </span></em></strong><strong><em><span style="font-size: 11pt;">Implement Competency Model ให้กับองค์กรภาครัฐและเอกชน
ประสบการณ์ในการทำงานในเครือซิเมนต์ไทยมา 15 ปี เป็นอาจารย์พิเศษ สอนด้าน Human
Resource Management </span></em></strong><strong><em><span style="font-size: 11pt;">คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขต
บางแสน</span></em></strong><strong><em><span style="font-size: 11pt;">จ.ชลบุรี</span></em></strong></div>
<div>
<strong><em><span style="font-size: 11pt;">E-mail <u><span style="color: blue;"><a href="mailto: <script language='JavaScript' type='text/javascript'> <!-- var prefix = 'ma' + 'il' + 'to'; var path = 'hr' + 'ef' + '='; var addy65949 = 'weerakp' + '@'; addy65949 = addy65949 + 'gmail' + '.' + 'com'; document.write( '<a ' + path + '\'' + prefix + ':' + addy65949 + '\'>' ); document.write( addy65949 ); document.write( '<\/a>' ); //-->\n </script><script language='JavaScript' type='text/javascript'> <!-- document.write( '<span style=\'display: none;\'>' ); //--> </script>%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%97 %E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89 <script language='JavaScript' type='text/javascript'> <!-- document.write( '</' ); document.write( 'span>' ); //--> </script>"><span style="color: blue;">
<script>
</script>
</span></a><span style="color: blue;"><a href="mailto:weerakp@gmail.com">weerakp@gmail.com</a>
</span>weerakp@gmail.com
<script>
</script>
<span style="display: none;"></span></span></u>, <span style="color: maroon;">
<script>
</script>
<a href="mailto:weerakp@yahoo.com">weerakp@yahoo.com</a> weerakp@yahoo.com
<script>
</script>
<span style="display: none;"></span></span></span></em></strong><strong><em><span style="font-size: 11pt;">Mobile 081-5755966</span></em></strong></div>
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-89325819951887988432011-09-22T04:06:00.000-07:002011-09-22T04:09:23.225-07:0010 ข้อดีของเพื่อน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-r9DeSlUkmuk/TnsXUjSp3wI/AAAAAAAAESY/-PLHbBWikhY/s1600/imagesCA8XEI4E.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-r9DeSlUkmuk/TnsXUjSp3wI/AAAAAAAAESY/-PLHbBWikhY/s1600/imagesCA8XEI4E.jpg" /></a></div><b>10 ข้อดีของเพื่อน</b><br />
<br />
1. ให้คุณซบไหล่ยามที่คุณร้องไห้ได้<br />
2. กำจัดความกลัวและความผิดหวังของคุณ และให้คำแนะนำที่เหมาะสม<br />
3. เคารพคุณด้วยความชื่นชมในสติปัญญาและความมีเสน่ห์ของคุณ และปฎิบัติต่อคุณเป็นอย่างดี<br />
4. ทำให้คุณรู้สึกพิเศษในโอกาสที่สำคัญอย่างเช่นวันเกิดคุณ<br />
5. เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่คุณในการเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมงานและเป็นคนที่ดี<br />
6. ช่วยเหลือคุณจากพวกที่เข้ามาคุยกับคุณแบบไม่ยอมเลิกในงานปาร์ตี้<br />
7. ไม่สนใจว่าบนใบหน้าคุณจะมีตุ่มหรือแผลเป็นในยามที่คุณยังไม่ได้แต่งหน้า<br />
8. ให้คุณเล่นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าของเธอ<br />
9. ช่วยคุณเลือกซื้อหมวกเมื่อผมทรงใหม่สร้างความหายนะ<br />
10. พูดอย่างตื่นเต้นว่า "เราชอบหนังเรื่องสั้น" เวลาคุณแนะนำให้เธอไปเช่าวิดีโอเรื่องที่คุณชอบดูซ้ำซากมาดูอีกครั้ง<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
หากคุณและเพื่อนเริ่มรู้สึกถึงความห่างเหินและรู้สึกไม่ดีต่อกัน ควรจะนัดพบและหากิจกรรมทำร่วมกัน อย่างเช่น<br />
1. หาซื้อรองเท้า (เธอไม่ห้ามคุณซื้อรองเท้าสีดำอีกคู่หรอก)<br />
2. หาร้านนั่งจิบกาแฟ<br />
3. ดูหนังแบบมาราธอนด้วยกัน<br />
4. มานอนค้างคืนกันที่บ้าน นั่งทาเล็บกันแล้วหาขนมคบเคี้ยวกินแก้เซ็ง<br />
5. เข้าร้านทำผม แล้วก็นั่งคุยเล่นกันระหว่างเสริมสวย<br />
<br />
สิ่งที่รักษามิตรภาพไว้<br />
<br />
๐ การเคารพกัน<br />
๐ เสียงหัวเราะ<br />
๐ การโกหกเพื่ออีกฝ่าย<br />
๐ นั่งกินจังค์ฟูดกัน<br />
๐ ชื่นชมกันและกัน<br />
๐ อดทน<br />
๐ กอดกันบ่อยๆ<br />
<br />
ไม่มีข้ออ้างที่จะทิ้งเพื่อนไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น หมั่นติดต่อกันเสมอๆ โดย<br />
<br />
๐ ไปเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายด้วยกัน เช่น ชวนกันไปตีเทนนิสหรือเข้าคอร์สฟิตเนสหลังเลิกงาน<br />
๐ ไปจิบกาแฟกันในวันหยุดสุดสัปดาห์<br />
๐ หาโปรแกรมหนังดีๆ ดูด้วยกัน สัก 2 ครั้งต่อเดือน<br />
๐ ส่งอีเมล์หรือบัตรอวยพรเขียนว่า "คิดถึงเธอจัง" ไปให้เพื่อน<br />
๐ กดโทรศัพท์มือถือไปทักทายเมื่อยามรถติด<br />
๐ ทำอาหารรับประทานด้วยกัน<br />
๐ จดวันที่สำคัญลงไปในไดอารี่อย่างเช่น วันที่เพื่อนคุณไปเอกซ์เรย์ทรวงอกหรือวันประเมินการทำงาน แล้วที่สำคัญ อย่าลืมโทรศัพท์ไปหาเธอล่ะ<br />
<br />
ที่มา: <a href="http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sananda&month=01-2008&date=15&group=1&gblog=454" rel="nofollow">www.bloggang.com</a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-90569981838237694222011-09-22T03:57:00.000-07:002011-09-22T03:59:14.104-07:00ข้อดีของความรัก<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-8gJvkZpR3Hw/TnsU64PGdHI/AAAAAAAAESU/RipI_L3AHYo/s1600/love_good.png" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-8gJvkZpR3Hw/TnsU64PGdHI/AAAAAAAAESU/RipI_L3AHYo/s1600/love_good.png" /></a></div><strong>ข้อดีของความรัก</strong> <br />
ใครๆหลายคน มักพูดกันว่า คนเราเมื่อมีความรัก เราจะมองโลกในมุมที่สดใสบ้างล่ะ เห็นโลกเป็นสีชมพูบ้างล่ะ มันก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคนนะคะ แล้วคุณละคะ เคยถามตัวเองบ้างไหม ว่าตอนที่คุณกำลังมีความรัก คุณเป็น อย่างไร <br />
ได้ชื่อว่าความรักแล้ว หลายๆคนก็มองถึงแง่มุมที่ดีๆ ของความรัก แต่อันที่จริงแล้ว ความรักในด้านลบ ก็มีนะคะ ใครเคยเจอความรักในด้านนี้ก็โชคร้ายหน่อย แต่ชีวิตคน มันคงไม่เจอแต่รักในด้านลบหรอกค่ะ อย่างที่เขาว่ากันว่า ฟ้า หลังฝนสดใสเสมอไงค่ะ <br />
<a name='more'></a>แต่เราอย่าไปมองถึงด้านลบเลยค่ะ เรามามองความรักในแง่มุมดีๆกันดีกว่า คนที่กำลัง มีความรักอยู่ถ้าตอนนี้ได้อ่านก็คงยิ้มแป้น แก้มปริกันไปเป็นแถวๆเลยสิท่า เอาล่ะๆ เราลองมามองตัวเราเองกัน ดีกว่านะคะว่าตั้งแต่เรามีความรักเนี่ย เรารู้สึกว่าตัวเรามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว หากมองแล้วเราจะรู้สึกว่า ตัวเรามีหน้าตาที่สดใสเปล่งปลั่งขึ้น จะยิ้ม จะหิว จะโกรธ เราก็ดูดีไปหมด เป็นเพราะอะไรหลายคนอาจสงสัย ก็เพราะความรักทำให้คนเรามีจิตใจสดใสเบิกบาน เมื่อคนเราจิตใจสดใสแล้ว ความสดใสจากภายในก็จะส่งผลมา ถึงใบหน้า และดวงตาของเราด้วยล่ะคะ หากคุณยังสงสัยว่าจริงรึเปล่าก็ลองมองไปที่คนใกล้ๆตัวของคุณดูสิคะ ว่าตั้งแต่คนใกล้ตัวของคุณมีความรักเค้าสวยหรือหล่อขึ้นจริงรึเปล่า ความรักไม่เพียงที่จะช่วยให้คนเราสวยขึ้น ได้เท่านั้นนะคะ แต่ความรักเป็นแรงบันดาลใจ ให้คุณทำในสิ่งที่คุณไม่เคยทำหรือไม่คิดจะทำ ทำเพื่ออะไรนั้นก็คง ต้องถามตัวคุณดูเองแล้วล่ะคะ บางคนที่ไม่เคยคิดสนใจที่จะเรียน ทำตัวเสเพล กลับหันมาขยันเรียน ขยันท่อง หนังสือ เหตุผลก็เพื่อ อยากเอ็นให้ติดที่เดียวกับคนที่คุณชอบ บางคนเลิกดื่มเหล้า เลิกสูบบุหรี่ เพื่อคนรัก ว้าว! ช่างเป็นอะไรที่วิเศษมากๆเลยนะคะเนี่ย ความรักอาจทำให้คนที่ไม่ชอบฟังเพลงหันมาอินกับเพลงได้อย่างไม่รู้ตัว หลายๆคนที่มีความรักเคยสังเกตบ้างรึปล่าว ว่าทั้งๆที่คุณ ไม่คนที่ไม่ชอบฟังเพลงเอาซะเลย แต่เมื่อคุณเริ่มมีรักคุณ กลับชอบที่จะฟังเพลงที่มีความหมายดีๆ ที่เกี่ยวกับความรัก อย่างไม่รู้ตัว ความรักยังทำให้คุณซึ่งเป็นคนจิตใจ หยาบ กระด้าง หุนหันพลันแล่น ใจร้อน กลับกลายมาเป็นคนทีมีจิตใจอ่อนโยน เยือกเย็น และข้อดีของความรักที่สำคัญ ที่สุดคือ คุณจะรู้สึกคิดถึง คนคนนั้นมากอย่างที่คุณไม่เคยคิดถึงใครมาก่อน รู้สึกอยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆเธอหรือเขาคน นั้น อยากดูแลเธอหรือเขา อยากปกป้อง คุ้มครอง อยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียง อยากเข้าไปนั่งในใจเธอ หรือเขาคนนนั้น อยากบอกเขาหรือเธอคนนั้นว่าคุณรักเขา และอยากได้ยินคำว่ารักจากคนคนนั้นเช่นกัน <br />
<br />
อันที่จริงแล้วข้อดีของความรัก มีอีกเยอะแยะมากมาย นี่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นที่คนกำลังมีความรักรู้สึก หากคุณ อยาก สัมผัสกับสิ่งดีเหล่านี้บ้าง ลองสิคะ ลองรักใครสักคนดู ความรักทำให้โลกนี้สวยงามค่ะ และจะทำให้คุณ มองโลกนี้สวยงามขึ้นอีกเยอะเลยล่ะคะ <br />
<br />
เราอาจจะเป็นเพียงเพื่อนสนิทที่รับรู้ทุกเรื่องของกันและกัน <br />
เราอาจจะแบ่งปันทุกอย่างที่ต่างมีให้กัน <br />
แต่รุ้มั๊ย..ฉันเฝ้ารอวันนั้น .... <br />
วันที่เราจะแบ่งปันหัวใจรักให้กันและกัน...วันนั้น และวันนั้นUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-57323853897152375782011-08-31T23:48:00.000-07:002011-08-31T23:48:04.349-07:00ประโยชน์: 10 อาหารเสริมน่ารู้ สำหรับผู้ชายการจะเลือกซื้ออาหารเสริมให้กับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ชายหลายคนคิดจะสรรหาวิตามินนับร้อยมากินคู่กับอาห ารมื้อหลักเพื่อชดเชย สภาวะขาดแคลนปริมาณสารอาหาร คนหนุ่มอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าวิตามินหรืออาหารเสริมจะ ช่วยป้องกันโรคบาง อย่างไม่ต่างกับการสร้างภูมิต้านทาน <br />
<br />
ถ้าการมุ่งหน้าไปร้านขาย ยาเพื่อซื้ออาหารเสริมเพียงแค่ 1-2 ชนิดทำให้คุณต้องวุ่นวายกับข้อมูลจำนวนมากจนไม่สามาร ถจัดการกับข้อมูลหรือ อาหารเสริมที่ต้องการได้ การสอบถามจากคนรอบตัวและการหาข้อมูลเพิ่มเติมจะช่วยคุณได้มากในขั้นตอนของ การตัดสินใจว่าอะไรคืออาหารเสริมที่คุณต้องการจริงๆ <br />
<br />
1. กรดโฟลิก(Folic Acid) : มีคุณสมบัติช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลัน และอาการเส้นเลือดในสมองแตกในผู้ชาย คุณจึงควรหันมาให้ความสนใจกินอาหารที่มีกรดโฟลิก ซึ่งมีอยู่มากในผักใบเขียวทุกชนิด หรือหากต้องการบริโภคอาหารเสริมประเภทกรดโฟลิก การกินอาหารเสริมประเภทนี้ตามคำแนะนำของแพทย์จะเป็นว ิธีที่ปลอดภัยที่สุด <br />
<br />
<a name='more'></a><br />
2. กระเทียม (Garlic) : ช่วยลดความดันเลือด ลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย และช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือดได้ นอกจากนี้การบริโภคกระเทียมเป็นประจำจะให้ผลต้านไวรั ส ช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องเส้นเลือดสมองแตก และลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหัวใจวาย และหากกินกระเทียมชนิดสดหรือกระเทียมที่นำไปปรุงอาหารเป็นประจำได้จะเป็น การดีกว่า อาหารเสริมประเภทกระเทียม ควรจะเป็นทางที่สองสำหรับคุณ <br />
<br />
3. สังกะสี (Zinc) : คุณอาจไม่ทราบว่าผู้ชายเป็นเพศที่สูญเสียปริมาณสังกะ สีในร่างกายได้ง่าย เพราะทุกครั้งที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ สังกะสีปริมาณ 5 มิลลิกรัมซึ่งเป็นปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณสังกะสีที่ร่างกายต้องการต่อวันจะถูกขับออก จากร่างกาย ดังนั้น ผลเสียที่ตามมาจากการที่ร่างกายขาดสังกะสีก็คือ ความต้องการทางเพศลดลง และโอกาสที่จะเป็นหมันสูง รวมทั้งสูญเสียประสิทธิภาพในการดมกลิ่นและรับรส แหล่งที่มาของอาหารเสริมชนิดนี้ได้แก่ อาหารทะเลจำพวกหอยนางรม ถั่ว เมล็ดพืช ธัญพืช และเนื้อสัตว์ ส่วนข้อควรระวังสำหรับการกินแร่ธาตุประเภทสังกะสีก็ค ือ ในกรณีที่คุณบริโภคสังกะสีมากกว่าวันละ 25มิลลิกรัม เป็นประจำอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และท้อ งผูกตามมา <br />
<br />
4. โสม (Ginseng) : มีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูพลังงานทั้งร่างกายและส ภาวะจิตใจ เมื่อคุณอยู่ในอาการที่เคร่งเครียด โสมจะช่วยให้ระดับกลูโคสอยู่ในระดับเป็นปกติ ทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย ช่วยให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น จากการวิจัย โสมยังช่วยยืดอายุเซลล์ และมีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับฮอร์โมนเทส-โทสเตอโรนในเพศชายได้เป็นอย่างดี <br />
<br />
5. น้ำมันปลา(Omega 3) : จากการศึกษาพบว่า โอเมก้า 3 มีกรดไขมันที่สำคัญหลายชนิดสามารถลดความเสี่ยงต่อการ เกิดโรคความดันเลือดสูง มีผลในการรักษาโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย แหล่งที่มาของสารอาหารประเภทน้ำมันปลาตามธรรมชาติ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาซาร์ดีน และปลาที่มีไขมันต่ำ แต่หากบริโภคในปริมาณที่มากเกินไป น้ำมันปลาก็จะเข้าไปเพิ่มระดับน้ำตาลซึ่งเป็นอันตราย สำหรับผู้ที่ป่วยเป็น โรคเบาหวาน <br />
<br />
6. กลูโคซามีน ซัลเฟต (Glucosamine Sulfate) : มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของไขข้อ การสร้างกระดูกอ่อน มีประสิทธิภาพในการป้องกันข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย สามารถช่วยซ่อมแซมไขข้อ กระดูกอ่อน บรรเทาอาการเอ็นยึด และอาการกระดูกสันหลังเคลื่อน มีประโยชน์อย่างมากเมื่อใช้ในผู้ชายที่มีอาการปวดหลั ง ข้ออักเสบ หรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา <br />
<br />
7. สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ซอว์ พาลเม็ตโต (Saw Palmetto) : สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ช่วยบรรเทาอาการต่อมลูกหมากโตชนิดไม่รุนแรง และช่วยกระตุ้นการหดตัวของต่อมลูกหมาก แต่ข้อเสียของสารสกัดชนิดนี้คือผลข้างเคียงที่จะทำให ้ปัสสาวะบ่อยขึ้น นอกจากนี้หากยังไม่แน่ใจในวิธีการเลือกรับประทาน คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะซื้อหามาบริโภคด้วยตนเอง <br />
<br />
8. แคตส์ คลอว์ (Cats Claw) : เป็นสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่ง พบในอเมริกาใต้ ช่วเพิ่ม ภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และกำจัดเ ซลล์ผิดปกติ แถมยังป้องกันการอักเสบการติดเชื้อไวรัส ป้องกันมะเร็งและช่วยให้การทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขา วดีขึ้น <br />
<br />
9. มิลค์ ทิสเซิล (Milk Thistle) : เป็นของเหลวจากพืชชนิดหนึ่ง ช่วยป้องกันตับเป็นพิษจากปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มากเก ินไป รวมทั้งช่วยสร้างเซลล์ตับขึ้นมาใหม่ จากการที่ตับถูกทำร้ายด้วยไวรัสหรือตับเป็นพิษ ดังนั้น การกินมิลค์ ทิสเซิล มันน่าจะเหมาะสำหรับผู้ชายที่ชอบดื่มหนักเป็นประจำ <br />
<br />
10. อาหารเสริมกลุ่มแอนติออกซิ-แดนท์ (Antioxidants) : อาหารเสริมกลุ่มนี้มีคุณสมบัติช่วยต้านหรือลดการทำงา นของอนุมูลอิสระ ไม่ให้เกิดการเผาผลาญหรือไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขอ งร่างกายมากเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งมลพิษต่างๆ ในสภาวะแวดล้อมที่คุณต้องเผชิญ อาหารเสริมที่มีความจำเป็นในการใช้เพื่อต่อต้านสารอน ุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และซีลีเนียม <br />
<br />
นอกจากนี้ ผลการวิจัยจากหลายสถาบันยังกล่าวด้วยว่า ผู้ชายที่กินซีลีเนียมวันละ 200 มิลลิกรัมเป็นประจำ มีโอกาสเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ลำไส้ ปอด รวมทั้งมะเร็งอื่นๆ น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กินซีลีเนียมเป็นประจำกว่าร้อยละ 50 <br />
<br />
ที่มา: http://bbs.asiasoft.co.th/archive/index.php/t-186255.htmlUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-79763078794068468832011-08-29T21:57:00.000-07:002011-08-29T21:57:00.110-07:00ประโยชน์ของการลงทุน<br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody>
<tr> <td class="bodycopy" valign="top"> <div id="ctl00_PlaceHolderMain_RichHtmlField4__ControlWrapper_RichHtmlField" style="display: inline;"> <ul><li>เพิ่มโอกาส และทางเลือกในการลงทุน นอกเหนือจากการฝากเงิน การเล่นหุ้นเอง การซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้ </li>
<li>กระจายความเสี่ยงของการลงทุนไปในหลักทรัพย์หลายประเภทด้วยเงินลงทุนจำนวนไม่มาก เช่น สามารถเป็นเจ้าของหุ้นมากกว่า 10 ตัว (ที่กองทุนถือครองอยู่) ด้วยเงินเพียง 2,000 บาท </li>
<li>สามารถเป็นเจ้าของหลักทรัพย์หลากหลายประเภทได้โดยไม่ต้องติดต่อหลายหน่วยงาน </li>
<li>เพิ่มอำนาจต่อรองของเงินลงทุน กองทุนรวมนับเป็นนักลงทุนประเภทสถาบัน ที่มีเงินลงทุนก้อนใหญ่ ทำให้มีอำนาจต่อรองทั้งในเรื่องอัตราดอกเบี้ยและราคาตราสารได้มากกว่านักลงทุนรายย่อย </li>
<li>บริหารเงินลงทุนโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ </li>
<li>มีสภาพคล่องสูง เนื่องจากกองทุนส่วนใหญ่สามารถทำรายการซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ และสามารถทำรายการได้ทั่วประเทศ </li>
<li>มีกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนหลากหลายประเภท ให้เลือก ทำให้สามารถกระจายเงินลงทุนได้อย่างหลากหลาย ตามลักษณะการยอมรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล (mix and match) เช่น ผู้ลงทุนอาจลงทุนในกองทุนบัวแก้ว 20% กองทุนบีเฟล็กซ์ 60% กองทุนบีแอ็คทีฟ 20% </li>
<li>ประหยัดเวลาในการติดตามข้อมูลในตลาดและภาวะเศรษฐกิจ </li>
<li>ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยกำไรจากการลงทุนไม่ต้องนำไปคำนวณภาษี นอกจากนี้เงินที่ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เมื่อมีผู้ถือหน่วยปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน </li>
<li>สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นผู้กำกับดูแลการจัดการและบริหารกองทุน</li>
</ul><div>ที่มา: www.bangkokbank.com</div></div></td></tr>
</tbody></table>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-33793467605357453512011-08-28T21:53:00.000-07:002011-08-28T21:53:00.597-07:00APPLE ประโยชน์ของแอ๊ปเปิ้ล<br />
<div class="post-outer"> <div class="post hentry"><a href="" name="132869249888025811"></a> <div class="post-header"> <div class="post-header-line-1"></div></div><div class="post-body entry-content" id="post-body-132869249888025811"><a href="http://4.bp.blogspot.com/_sqlY50HLqGE/SomaHwjxs3I/AAAAAAAAAY8/GNE0Jw2OZuc/s1600-h/apple.jpg" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5370993488700748658" src="http://4.bp.blogspot.com/_sqlY50HLqGE/SomaHwjxs3I/AAAAAAAAAY8/GNE0Jw2OZuc/s200/apple.jpg" style="display: block; height: 134px; margin-bottom: 10px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; text-align: center; width: 200px;" /></a> <div><span style="font-family: arial;"><strong>แอ๊ปเปิ้ล APPLE</strong></span></div><br />
<div><span style="font-family: arial;">เป็นผลไม้ยอดนิยมชนิดหนึ่งของโลก ต้นแอ๊ปเปิ้ลสูงประมาณ 5-12 เมตร ผลมีเปลือกสีแดง ชมพู เขียว และเหลืองตามสายพันธุ์ เนื้อในเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล</span></div><div><span style="font-family: arial;"></span></div><div><span style="font-family: arial;"></span></div><br />
<div><span style="font-family: arial;">คุณค่าโภชนาการ เมื่อกินโดยไม่ปอกเปลือก จะมีพลังงาน 80 แคลอรี วิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม วิตามินซี 7.9 มิลลิกรัม เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม และโพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม หากปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญต่างๆ ก็จะลดลงไปจากที่กล่าวไว้ </span></div><div><span style="font-family: arial;"></span></div><div><span style="font-family: arial;"></span></div><br />
<div><span style="font-family: arial;">แอ๊ปเปิ้ลมีสารสำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ คือ</span></div><div><span style="font-family: arial;">เพคติน มีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณ บำรุงหัวใจ ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส </span></div><div><span style="font-family: arial;"></span></div><div><span style="font-family: arial;"></span></div><a name='more'></a><br />
<div><span style="font-family: arial;">บทความในวารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2470 ยกให้แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้เหมาะสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรด ไขข้อรูมาติก เกาต์ ดีซ่าน และอื่นๆ </span></div><div><span style="font-family: arial;"></span></div><div><span style="font-family: arial;"></span></div><br />
<div><span style="font-family: arial;">แอ๊ปเปิ้ลยังช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะมีแป้งและน้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทั้งทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียระหว่างรอเวลาอาหารมื้อใหญ่ แต่แอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้ การดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้หายหิว แต่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มด้วย </span></div><div></div><div><span style="font-family: arial;">กินแอ๊ปเปิ้ลวันละ 2-3 ผลช่วยลดปริมาณคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด แต่จะได้ผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แอ๊ปเปิ้ลลดคลอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย </span></div><div></div><br />
<div><span style="font-family: arial;">คณะวิจัยมหาวิทยาลัยพอลซาบาทิเอร์ เมืองตูลูส ฝรั่งเศส ทดลองในอาสาสมัครวัยกลางคนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย 30 คน โดยให้กินอาหารเหมือนเดิมทุกประการ แต่กินแอปเปิ้ลด้วยวันละ 3 ผล ทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าอาสาสมัคร 24 คน มีปริมาณคลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง บางคนลดมากกว่า 10% และเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันแยกคลอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจะคอยดักจับคลอเลสเตอรอลเหล่านั้นนำไปทิ้งก่อนจะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกาย เป็นการขจัดคลอเรสเตอรอลออกไป </span></div><div><span style="font-family: arial;"></span></div><div><span style="font-family: arial;"></span></div><br />
<div><span style="font-family: arial;">แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด ปกติเมื่อกินอาหารเข้าไป อาหารแต่ละชนิดจะย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้น เช่น ถ้ากินน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอ๊ปเปิ้ล ถึงจะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น และยังพบว่าคนที่กินอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ มีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่กินน้อย และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก</span></div><div><span style="font-family: arial;"></span></div><div><span style="font-family: arial;">มาทำความรู้จักกับประโยชน์ของแอ๊ปเปิ้ล โดยแบ่งตามสีดังนี้</span></div><div style="clear: both;"></div></div><div class="post-footer"> <div class="post-footer-line post-footer-line-1"><span class="post-icons"></span></div><div class="post-footer-line post-footer-line-2"></div><div class="post-footer-line post-footer-line-3"></div></div></div></div><div id="latency-132869249888025811"></div><script>
</script> <div class="post-outer"> <div class="post hentry"><a href="" name="6603400225006956851"></a> <div class="post-header"> <div class="post-header-line-1"></div></div><div class="post-body entry-content" id="post-body-6603400225006956851"> <div><span style="font-family: arial;">1. <strong>แอ๊ปเปิ้ลแดง</strong> มีจุดเด่นที่ดีต่อสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมี</span></div><div><span style="font-family: arial;">อิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย</span></div><div><span style="font-family: Arial;"></span></div><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5370990822960191906" src="http://2.bp.blogspot.com/_sqlY50HLqGE/SomXsl5s2aI/AAAAAAAAAYU/17gH_buGxfw/s200/redapple.jpg" style="cursor: hand; display: block; height: 197px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 200px;" /><br />
<div><span style="font-family: Arial;"></span></div><div style="clear: both;"></div></div><div class="post-footer"> <div class="post-footer-line post-footer-line-1"><span class="post-icons"></span></div><div class="post-footer-line post-footer-line-2"></div><div class="post-footer-line post-footer-line-3"></div></div></div></div><div id="latency-6603400225006956851"></div><script>
</script> <div class="post-outer"> <div class="post hentry"><a href="" name="622614592835431185"></a> <div class="post-header"> <div class="post-header-line-1"></div></div><div class="post-body entry-content" id="post-body-622614592835431185"> <div><span style="font-family: arial;">2. <strong>แอ๊ปเปิ้ลสีชมพู</strong> มีสารฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาแอ๊ปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย</span></div><div><span style="font-family: Arial;"></span></div><div><span style="font-family: arial;"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5370991357747370498" src="http://3.bp.blogspot.com/_sqlY50HLqGE/SomYLuI5mgI/AAAAAAAAAYc/wYmj_fV-a08/s200/pinkapple.jpg" style="cursor: hand; display: block; height: 200px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 187px;" /></span></div><div style="clear: both;"></div></div><div class="post-footer"> <div class="post-footer-line post-footer-line-1"><span class="post-icons"></span></div><div class="post-footer-line post-footer-line-2"></div><div class="post-footer-line post-footer-line-3"></div></div></div></div><div id="latency-622614592835431185"></div><script>
</script> <div class="post-outer"> <div class="post hentry"><a href="" name="2392785922529011177"></a> <div class="post-header"> <div class="post-header-line-1"></div></div><div class="post-body entry-content" id="post-body-2392785922529011177"><span style="font-family: arial;">3. <strong>แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว</strong> มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะการกิน</span><br />
<span style="font-family: arial;">แอ๊ปเปิ้ลสีเขียวนอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิว</span><br />
<span style="font-family: arial;">แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี</span><br />
<span style="font-family: arial;"></span><br />
<span style="font-family: arial;"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5370991743123185602" src="http://1.bp.blogspot.com/_sqlY50HLqGE/SomYiJxp38I/AAAAAAAAAYk/LVHeWB_EUlw/s200/greenapple.jpg" style="cursor: hand; display: block; height: 200px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 179px;" /></span> <div style="clear: both;"></div></div><div class="post-footer"> <div class="post-footer-line post-footer-line-1"><span class="post-icons"></span></div><div class="post-footer-line post-footer-line-2"></div><div class="post-footer-line post-footer-line-3"></div></div></div></div><div id="latency-2392785922529011177"></div><script>
</script> <div class="post-outer"> <div class="post hentry"><a href="" name="7514064138228221349"></a> <div class="post-header"> <div class="post-header-line-1"></div></div><div class="post-body entry-content" id="post-body-7514064138228221349"><span style="font-family: arial;">4. <strong>แอ๊ปเปิ้ลสีเหลือง</strong> มีประโยชน์ต่างจากสีอื่นๆ โดยมีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก</span> <div><span style="font-family: Arial;"></span></div><div><span style="font-family: arial;"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5370992040431062610" src="http://1.bp.blogspot.com/_sqlY50HLqGE/SomYzdVYDlI/AAAAAAAAAYs/fHU6BDZtlPc/s200/yellowapple.jpg" style="cursor: hand; display: block; height: 200px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 200px;" /></span></div><div><span style="font-family: arial;"><br />
</span></div><div><span style="font-family: arial;">ที่มา: <a href="http://applesall.blogspot.com/">applesall.blogspot.com</a></span></div><div style="clear: both;"></div></div><div class="post-footer"> <div class="post-footer-line post-footer-line-1"><span class="post-icons"></span></div><div class="post-footer-line post-footer-line-2"></div><div class="post-footer-line post-footer-line-3"></div></div></div></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-23248369251633943112011-08-27T21:45:00.000-07:002011-08-27T21:45:00.650-07:00ใยอาหาร ...คุณประโยชน์จากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพที่ดี<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-k6VGMKvoHYw/TlSC70mp3yI/AAAAAAAAEQw/6m_rZc9J4BE/s1600/imagesCAC52361.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-k6VGMKvoHYw/TlSC70mp3yI/AAAAAAAAEQw/6m_rZc9J4BE/s1600/imagesCAC52361.jpg" /></a></div><b>ใยอาหาร ...คุณประโยชน์จากธรรมชาติ เพื่อสุขภาพที่ดี</b><br />
จากปัญหาทางสุขภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน หลายโรคมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม และไม่ถูกต้องตามสุขลักษณะ เป็นเหตุให้เกิดการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตทั้งจากโรคเฉียบพลันและโรคเรื้อรัง ดังนั้นความรู้และความเข้าใจถึงคุณค่าทางอาหาร รวมถึงประโยชน์และการนำมาใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมนั้นย่อมส่งเสริมให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการป้องกันการเกิดโรคได้เป็นอย่างดี<br />
<br />
เมื่อพูดถึงใยอาหารหลายคนจะคิดถึงส่วนที่เป็นเส้นใยในฝักถั่วหรือผักใบเขียวทั้งหลายที่มีเส้นแข็งๆ<br />
อยู่ในใบ แต่ในความเป็นจริงแล้วใยอาหารที่เรากำลังกล่าวถึงนี้มีคุณสมบัติมากกว่านั้น<br />
<br />
ใยอาหาร (Dietary fiber) เป็นสารอาหารประเภทหนึ่ง เมื่อบริโภคแล้วให้ประโยชน์ต่อร่างกาย และช่วยลด<br />
อัตรา เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น ลดปริมาณคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ในเลือด ลดอัตราการเกิดโรคกระดูกพรุน ป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคอ้วน โรคเบาหวาน และยังเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วย ขณะเดียวกันยังทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้สมบูรณ์เป็นปกติ ทั้งการเคลื่อนไหว การดูดซึมสารอาหาร การมีชีวิตอยู่ของจุลชีพและการขับถ่าย จึงส่งผลให้มีสุขภาพที่ดี สมบูรณ์ และแข็งแรง<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ใยอาหารคือ ส่วนที่มาจากพืช ธัญพืช ผัก และผลไม้ ซึ่งเป็นโมเลกุลเชิงซ้อนของคาร์โบไฮเดรต ทนต่อการถูกย่อยสลายโดยกรดในกระเพาะอาหารและเอนไซม์ในลำไส้เล็ก สามารถผ่านถึงลำไส้ใหญ่ในสภาพเดิม ซึ่งบางส่วนอาจถูกย่อยโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ได้<br />
<br />
ใยอาหารสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ตามการละลายน้ำ ความหนืด หรือการถูกย่อยโดยแบคทีเรียที่ลำไส้ใหญ่ คือ ใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ และใยอาหารชนิดละลายน้ำ<br />
<br />
ใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำจะไม่มีความหนืด ไม่ถูกย่อยโดยแบคทีเรียที่ลำไส้ใหญ่หรือถูกย่อยน้อยมาก<br />
ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณเนื้ออุจจาระ ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม และลดระยะเวลาการค้างตัวของอุจจาระในลำไส้ใหญ่ <br />
ใยอาหารชนิดนี้พบมากในข้าวสาลี รำข้าวสาลี ถั่วเปลือกแข็ง มะขาม เปลือกของผลไม้ และผักต่างๆ ขณะที่ใยอาหารชนิดละลายน้ำจะมีความหนืด และถูกย่อยได้ดี โดยแบคทีเรียที่ลำไส้ใหญ่ ซึ่งความหนืดของใยอาหารชนิดละลายน้ำนั้น ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น ทำให้รู้สึกอิ่ม และไม่รู้สึก หิวบ่อย อาจมีผลช่วยลดน้ำหนักตัว และยังช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลและไขมันผ่านเยื่อบุผิวของลำไส้ได้<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-JrJS9eOiLQY/TlSC-SG0XSI/AAAAAAAAEQ0/FGF1pbwPGSw/s1600/imagesCAFS5HUL.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-JrJS9eOiLQY/TlSC-SG0XSI/AAAAAAAAEQ0/FGF1pbwPGSw/s1600/imagesCAFS5HUL.jpg" /></a></div><br />
นอกจากนี้ใยอาหารที่ถูกย่อยจะก่อให้เกิดกรดไขมันสายสั้นขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเซลล์เยื่อบุลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่ ไม่ให้เซลล์เยื่อบุลำไส้ฝ่อหรือเหี่ยว ทั้งยังกระตุ้นการสร้างภูมิต้านทาน ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ใหญ่ และปรับเมแทบอลิซึมของน้ำตาลและไขมัน ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดดีขึ้น ขณะเดียวกันกรดไขมันสายสั้นทำให้สภาพภายในลำไส้ใหญ่มีความเป็นกรดมากขึ้น อาจช่วยลดการเกิดติ่งเนื้อหรือมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้ ซึ่งใยอาหารนิดละลายน้ำจะพบมากในข้าวโอ๊ต ข้าวไรน์ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง เมล็ดถั่ว ธัญพืช รวมทั้งในเนื้อผลไม้ เช่น พรุน แอ๊ปเปิ้ล สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ กล้วยน้ำว้า น้อยหน่า มะขามเทศ เป็นต้น<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารที่มีใยอาหารมากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น มีส่วนทำให้ลดการดูดซึม แร่ธาตุจำพวก แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก ทองแดง และสังกะสี นอกจากนี้กระบวนการย่อยใยอาหารอาจก่อให้เกิดแก๊สในลำไส้ใหญ่ ทำให้อึดอัดท้องและผายลมมากได้ ดังนั้นควรรับประทานใยอาหารในปริมาณที่เหมาะสม คือ ประมาณ 20 - 35 กรัมต่อวัน และควรรับประทานใยอาหารทั้งสองชนิดปะปนกัน ไม่ควรเลือกรับประทานใยอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง<br />
<br />
สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มใยอาหารให้แก่ร่างกาย ควรเพิ่มเมล็ดถั่ว ธัญพืช และผักเป็นส่วนประกอบใน<br />
อาหารแต่ละมื้อ รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว รับประทานผลไม้สดหลังมื้ออาหารทุกมื้อ หากเป็นผลไม้ที่รับประทานเปลือกได้ ควรล้างให้สะอาดและทานทั้งเปลือก หรืออย่างน้อยดื่มน้ำผลไม้ที่ผสมเนื้อผลไม้ รับประทาน ของว่างที่มีส่วนผสมเป็นธัญพืช เมล็ดถั่ว ผลไม้อบหรือตากแห้ง เพียงลองปฏิบัติตามคำแนะนำง่ายๆ เหล่านี้ก็สามารถช่วยให้ทุกคนมีสุขภาพดีขึ้นได้<br />
<br />
ที่มา : สถาบันโรคตับและทางเดินอาหาร โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท <br />
<br />
<br />
<br />
--------------------------------------------------------------------------------Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-67650362628816996542011-08-26T21:39:00.000-07:002011-08-26T21:39:00.056-07:00ข้าวกล้องงอก สิ่งดีๆที่ให้ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการ<br />
<div id="edit_article_detail_area"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-SLibkBppMzU/TlSBOH4ULcI/AAAAAAAAEQo/qY_eH--u3-Q/s1600/imagesCAM8KWNS.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-SLibkBppMzU/TlSBOH4ULcI/AAAAAAAAEQo/qY_eH--u3-Q/s1600/imagesCAM8KWNS.jpg" /></a></div><span style="color: green;"><b>ข้าวกล้องงอก คืออะไร</b> </span><br />
<span style="font-family: tahoma, arial, helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px;"><span style="color: green;"><strong><span lang="TH">ข้าวกล้องงอก (</span></strong><strong>germinated brown rice </strong><span class="head2"><b><span lang="TH">หรือ </span></b></span><span class="head2"><b>“</b></span><strong>GABA-rice”)</strong> </span><span style="color: #07ba11;"><span lang="TH">ถือเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากข้าวกล้องงอก</span> (germinated brown rice) <span lang="TH">เป็นการนำข้าวกล้องมาผ่านกระบวนการงอก </span><span lang="TH">ซึ่งโดยปกติแล้ว ในตัวข้าวกล้องเองประกอบด้วยสารอาหารจำนวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก </span>(Phytic acid)<span lang="TH"> วิตามินซี วิตามินอี และ </span><span class="head2">GABA<b> </b></span><span lang="TH">(</span>gamma aminobutyric acid) <span lang="TH">ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน และช่วยในการควบคุมน้ำหนักตัว เป็นต้น</span> <span lang="TH"> เมื่อนำข้าวกล้องมาแช่น้ำเพื่อทำให้งอก จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหาร โดยเฉพาะ </span>GABA <span lang="TH">เพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากจะได้ประโยชน์จากการที่มีปริมาณสารอาหารที่สูงขึ้นแล้ว ยังทำให้ข้าวกล้องงอกที่หุงสุกมีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม รับประทานได้ง่ายกว่าข้าวกล้องธรรมดาอีกด้วย <strong>จึงง่ายแก่การหุงรับประทานได้โดยไม่ต้องผสมกับข้าวขาวตามความนิยมของผู้บริโภค</strong></span><strong> </strong> <o:p></o:p></span></span></span><br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<strong><span style="color: green;">ส่วนประกอบภายในเมล็ดข้าว</span></strong><span style="font-family: tahoma, arial, helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 14px;"><span lang="TH"><span style="color: #12b30e;">จากการศึกษาทางกายภาพและทางชีวเคมีพบว่า</span></span><span style="color: #12b30e;"> "</span><span style="color: #12b30e;"><span lang="TH">เมล็ดข้าว" ประกอบด้วย<br />
- เปลือกหุ้มเมล็ด หรือแกลบ </span>(Hull <span lang="TH">หรือ</span> Husk) </span><span style="color: #12b30e;"><span lang="TH">ซึ่งจะหุ้มข้าวกล้องไว้<br />
ส่วนด้านในเมล็ดข้าวกล้องประกอบด้วย<br />
- จมูกข้าวหรือคัพภะ </span>(Germ <span lang="TH">หรือ</span> Embryo)</span><span style="color: #12b30e;"><span lang="TH">- รำข้าว (เยื่อหุ้มเมล็ด)<br />
- เมล็ดข้าวขาวหรือเมล็ดข้าวสาร </span>(Endosperm)<br />
<span lang="TH">ซึ่งสารอาหารในเมล็ดข้าวประกอบด้วย</span> <span lang="TH"> คาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลัก โดยมีโปรตีน วิตามินบี วิตามินอี และแร่ธาตุที่แยกไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของเมล็ดข้าว</span> <span lang="TH">นอกจากนี้</span> </span><span lang="TH"><span style="color: #12b30e;">ยังพบสารอาหารประเภท ไขมันซึ่งพบได้ในรำข้าวเป็นส่วนใหญ่</span> </span></span></span><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-AVGcMKxnTQA/TlSBQPHDr-I/AAAAAAAAEQs/MaOhsrpRvyg/s1600/imagesCADAMCM9.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-AVGcMKxnTQA/TlSBQPHDr-I/AAAAAAAAEQs/MaOhsrpRvyg/s1600/imagesCADAMCM9.jpg" /></a></div><span style="font-family: tahoma, arial, helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><span lang="TH"><strong><br />
</strong><span style="font-size: 14px;"><span lang="TH"><span style="color: #12b30e;">ข้าวเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีการเจริญเติบโตจะมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี</span></span><span style="color: #12b30e;"> <span lang="TH"> การเปลี่ยนแปลง</span> <span lang="TH">จะเริ่มขึ้น เมื่อน้ำได้แทรกเข้าไปในเมล็ดข้าว </span> <span lang="TH">โดยจะกระตุ้นให้เอนไซม์ภายในเมล็ดข้าวเกิดการทำงาน</span> <span lang="TH">เมื่อเมล็ดข้าวเริ่มงอก (</span>malting)<span lang="TH"> สารอาหารที่ถูกเก็บไว้ในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยสลายไปตามกระบวนการทางชีวเคมีจนเกิดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กลง (</span>oligosaccharide<span lang="TH">)</span> <span lang="TH">และน้ำตาลรีดิวซ์ (</span>reducing<span lang="TH"> </span>sugar<span lang="TH">) นอกจากนี้ โปรตีนภายในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยให้เกิดเป็นกรด</span> <span lang="TH">อะมิโนและเปปไทด์ </span> <span lang="TH">รวมทั้งยังพบการการสะสมสารเคมีสำคัญต่าง ๆ เช่น แกมมาออริซานอล (</span>gamma<span lang="TH">-</span>orazynol<span lang="TH">)</span> <span lang="TH"> โทโคฟีรอล (</span>tocopherol<span lang="TH">)</span> <span lang="TH">โทโค ไตรอีนอล (</span>tocotrienol<span lang="TH">)</span> </span><span lang="TH"><span style="color: #12b30e;">และโดยเฉพาะ</span><strong> <span style="color: green;">สารแกมมาอะมิโนบิวทิริกแอซิด (</span></strong></span><span style="color: green;"><strong>gamma<span lang="TH">-</span>aminobutyric acid</strong><strong>) </strong>หรือที่รู้จักกันว่า<strong> "สารกาบา"(</strong><strong>GABA)</strong></span></span></span></span></span><br />
<span style="font-family: tahoma, arial, helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><span lang="TH"><span style="font-size: 14px;"><span style="color: green;"><strong><br />
</strong></span></span></span></span></span><br />
<span style="font-family: tahoma, arial, helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><span lang="TH"><span style="font-size: 14px;"><span style="color: green;"><strong>ที่มา: <a href="http://www.natural-benefit.com/index.php?mo=3&art=323447" rel="nofollow">www.natural-benefit.com</a></strong></span></span></span></span></span></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-1764428470897651012011-08-25T11:45:00.000-07:002011-08-25T11:45:54.624-07:00ประโยชน์ของโกโก้<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-HDi1gs5eQxc/TlSAJZgOLfI/AAAAAAAAEQk/J6BikdE-6vc/s1600/imagesCA1OI271.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-HDi1gs5eQxc/TlSAJZgOLfI/AAAAAAAAEQk/J6BikdE-6vc/s1600/imagesCA1OI271.jpg" /></a></div><b>ดื่มโกโก้วันละแก้วสุขภาพดี</b><br />
<br />
นอกชาหรือไวน์แดงแล้ว โกโก้ก็อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ไม่แพ้กัน<br />
<br />
ผลการศึกษาชิ้นใหม่พบว่านอกจาก ชา หรือไวน์แดง ที่รู้กันดีว่ามีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคได้หลายโรค รวมถึงยังป้องกันผลกระทบจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยังมีอาหารอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ "โกโก้" ที่มีคุณสมบัติมากกว่าเครื่องดื่มเสริมสุขภาพที่ว่ามาเสียอีก<br />
<br />
นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาศึกษาพบว่า โกโก้ร้อน 1 ถ้วยนั้นอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ชา หรือ ไวน์แดง<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาหลายชิ้นได้เน้นถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพทีพบใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ โดยมีงานวิจัยในจีน ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วพบว่า คนที่ดื่มน้ำชาเป็นประจำนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกว่าครึ่งหนึ่ง<br />
<br />
ปีที่แล้ว นักวิจัยในฝรั่งเศสรายงานว่า ดื่มไวน์แดงวันละแก้ว อาจช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคหัวใจ และในปี 1998 ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้<br />
<br />
ในการศึกษาล่าสุดนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ในนิวยอร์ก ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว<br />
<br />
แม้ว่าโกโก้จะถูกนำไปทำเป็นอาหารหลายอย่างรวมทั้ง ช็อกโกแลต แต่นักวิจัยเผยว่า ทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารอย่างเต็มที่ ก็คือการดื่มโกโก้ โดยตรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในช็อกโกแลต 1 แท่งอุดมไปด้วยไขมัน โดยช็อกโกแลตแท่ง ขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น<br />
<br />
"แม้เรารู้ว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้นดีต่อสุขภาพของเรามาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวัน เราต้องการสารนี้กันจำนวนเท่าใด" ดร. ลี กล่าว "แต่กระนั้น โกโก้ร้อน ถ้วยหรือ สองถ้วย ก็ช่วยในด้านของความอร่อย ดื่มแล้วก็ทำให้รู้สึกอุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจากสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ได้รับอีกด้วย"<br />
<br />
ที่มา : ผลการศึกษาตีพิมพ์ใน วารสารของสมาคมการแพทย์อเมริกัน<br />
http://www.saranair.com/article.php?sid=16960<br />
<br />
<br />
<br />
Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-75763509782425252242011-08-23T21:35:00.000-07:002011-08-23T21:35:11.762-07:00คุณประโยชน์จากน้ำผึ้งธรรมชาติ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-UG5gkx0RJ6s/TlR_C-ueHWI/AAAAAAAAEQg/1D5soULZ8qQ/s1600/K200215.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="243" src="http://2.bp.blogspot.com/-UG5gkx0RJ6s/TlR_C-ueHWI/AAAAAAAAEQg/1D5soULZ8qQ/s320/K200215.jpg" width="320" /></a></div>น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารธรรมชาติที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่ช่วยเสริมสุขภาพ มีสรรพคุณทางยาและคุณค่ามาก และยังเป็นอาหารบำรุงผิวที่มีประโยชน์เหมาะกับเรื่องความสวยความงามด้วยค่ะ ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับน้ำผึ้งก่อนค่ะ <br />
<br />
น้ำผึ้งเกิดจากการที่ผึ้งนำน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ที่ผึ้งบินไปตอมซึ่งเป็นน้ำหวานจากธรรมชาติมาแล้วใช้กระบวนการตามธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งตอม <br />
<br />
รวมถึงสภาวะแวดล้อมของพืชชนิดนั้น ๆ และบริเวณที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งป่า หรือผึ้งที่เลี้ยงในป่าแบบปล่อยธรรมชาติ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยงในฟาร์มผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งเลี้ยงบางครั้งจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป <br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติ สามารถทำได้โดยการนำน้ำผึ้งที่ได้มาใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนอกเหนือจากการดูน้ำผึ้งป่ากับผึ้งเลี้ยงแล้วก็ต้องระวังเรื่องน้ำผึ้งปลอมด้วยนะคะ <br />
<br />
ประโยชน์ของน้ำผึ้ง ในน้ำผึ้งมีวิตามิน บี ซี และแร่ธาตุต่างๆ เช่น ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ กรดอะมิโนจำเป็น รวมถึงสารเอนติออกซิเดนท์<br />
<br />
เช่นเดียวกับที่พบในอาหารประเภทผักใบเขียว หรือชาเขียวซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต ช่วยปรับสมดุลร่างกาย และควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ<br />
<br />
เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้ง (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ล<br />
<br />
(Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น <br />
<br />
ผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมอุ่นๆ จะช่วยให้คุณหลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิซัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ท่านได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางลงบ้าง จะยิ่งทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่คุณได้พักผ่อนเต็มที่ <br />
<br />
สมัยก่อนไม่มีเครื่องสำอางมากมายอย่างในสมัยนี้ แต่ว่าคนสมัยโบราณก็รู้จักใช้น้ำผึ้งเป็นเครื่องบำรุงความงามได้ดีมากทีเดียว และเครื่องสำอางสมัยนี้ก็มีอยู่หลายอย่างที่ใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบเพื่อทำเป็นเครื่องบำรุงผิวให้งดงามชุ่มชื้น <br />
<br />
สำหรับผิวแห้งแตก เมื่ออากาศหนาวเย็นผิวก็จะแห้งง่าย เอาน้ำผึ้งแท้ไม่ต้องผสมอะไรนะคะ ทาผิวจะช่วยป้องกันผิวแห้งได้ ผิวก็จะไม่แตกด้วย <br />
<br />
สำหรับริมฝีปากแห้งและแตกง่าย ถ้าทาน้ำผึ้งบ้างก็จะสามารถป้องกันไม่ให้แตกเป็นแผลได้คะ <br />
<br />
เพื่อผิวหน้าสดใส ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว<br />
<br />
นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก <br />
<br />
น้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน หรือที่เรียกว่า Raw Organic Honeyจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น <br />
<br />
เพื่อผมเงางาม หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ <br />
<br />
จะเห็นได้ว่า "น้ำผึ้ง" มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายอย่างมาก ซึ่งตั้งแต่สมัยโบราณหมอชาวบ้านหรือแพทย์แผนโบราณจะนำน้ำผึ้งเดือน 5 หรือน้ำผึ้งแท้มาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา หรือเป็นตัวประสานในยา เช่น นำมาปั้นเป็นลูกกลอน เป็นน้ำกระสายละลายผงยา และน้ำผึ้งจัดเป็นตัวยาสมุนไพรสำคัญอย่างหนึ่งทีเดียวในการเอามาทำยาอายุวัฒนะในทุก ๆ ครั้ง นั่นก็เป็นเพราะคุณค่าอันมีประโยชน์อย่างมากมายที่ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอายุยืนยาวมากกว่าปกติ<br />
<br />
ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมคะ ว่าน้ำผึ้งจะสามารถทำอะไรได้มากมายขนาดนี้ เมื่อทราบกันอย่างนี้แล้ว อยากมีน้ำผึ้งติดบ้านซะแล้วซิ จริงไหมคะ<br />
<br />
ที่มา: <a href="http://www.it-gateways.com/charoenvej/Herb/honey.htm" rel='nofollow'>www.it-gateways.com</a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-14307444432198133292011-08-23T21:22:00.000-07:002011-08-23T21:22:57.680-07:0019 ข้อคิดขำๆที่อาจมีประโยชน์ต่อชาวโลก<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-qSMzpwEapgs/TlR8ToKL3BI/AAAAAAAAEQc/bFCR2Bs9KyM/s1600/imagesCA35538J.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-qSMzpwEapgs/TlR8ToKL3BI/AAAAAAAAEQc/bFCR2Bs9KyM/s1600/imagesCA35538J.jpg" /></a></div>ให้เพื่อนๆทุกคนลองอ่านดูนะครับ<br />
<br />
มีข้อไหนคิดว่าไม่ตรงท้วงได้เลยจ๊าาาาาาาาาาาาาาาาา<br />
<br />
1.อย่าขับรถเร็วเกินที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด <br />
2.การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำนั่นแหละ <br />
3.ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น <br />
4."อย่ากลัวความฝันของคุณ: มันง่ายกว่าที่คิด" <br />
<a name='more'></a> <br />
5.นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า <br />
ทุกๆ4คนจะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณสัก3คนสิถ้าทุกคนปกติดีก็คุณน่ะแหละ <br />
6.แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว <br />
7.น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ <br />
8.สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ <br />
9.การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น <br />
10.คนๆหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆเมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น <br />
11.เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี <br />
12.มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ <br />
13.คุณค่าของคนๆหนี่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ <br />
14.เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด <br />
15.คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง <br />
16.ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น <br />
17.เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น <br />
18.เด็กๆต้องการความรักมากที่สุดเมื่อพวกเขาทำตัวไม่น่ารัก <br />
19.คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)<br />
<br />
<br />
ที่มา: <a href="http://dek-d.com/board/view.php?id=1344414" rel='nofollow'>dek-d.com</a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-5605864169200105442011-08-23T21:12:00.000-07:002011-08-23T21:13:54.956-07:00ประโยชน์ และข้อควรระวังของแอลคาร์นิทีน<div style="margin-bottom: 0cm;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-5dPsdGEcyro/TlR6VnKrBAI/AAAAAAAAEQY/oTgoofT0y6o/s1600/imagesCAD6Y0K4.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-5dPsdGEcyro/TlR6VnKrBAI/AAAAAAAAEQY/oTgoofT0y6o/s1600/imagesCAD6Y0K4.jpg" /></a></div><span style="color: red;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">10 </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">ข้อควรรู้ของแอลคาร์นิทีน</span></span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">1.</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลง ในเหตุผลแรกนี้ก็ชวนให้เราหลงใหลใคร่อยากกินคาร์นิทีนกันแล้ว ที่คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลงก็เพราะเหตุผลที่ว่าเซลล์ในร่างกายทุกๆ เซลล์ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์จากระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์จากหัวใจ หรือเซลล์จากที่อื่นๆ ของร่างกายทั้งหมดจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อได้รับพลังงานเพียงพอ และเหมาะสมกับความต้องการของเซลล์แต่ละชนิด และคาร์นิทีนนี่เองทำให้เซลล์มีอายุยืนนานขึ้น</span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">2.</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คาร์นิทีนทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">(triglycerides) </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">อยู่ในระดับต่ำ และช่วยเพิ่มระดับคอเรสเตอรอลที่มีประโยชน์ </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">(HDL-</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คอเรสเตอรอล</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">) </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">ในเลือด</span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">3.</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คาร์นีทีนช่วยป้องกันโรคหัวใจโดยมีผลทำให้สุขภาพโดยรวมของหัวใจดีขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวด้วย </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">(1/3 </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">ของสาเหตุที่ทำให้คนเป็นโรคหัวใจตาย</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">)</span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">4.</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คาร์นีทีนช่วยให้น้ำหนักลด โดยเฉพาะการใช้ร่วมกับวิธีการที่เราลดอาหารจำพวกแป้งลงในอาหารแต่ละมื้อ</span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">5.</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คาร์นีทีนช่วยเพิ่มระดับพลังงานของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดความเสียหายใดๆ กับร่างกายเหมือนกับที่พบในสารสกัดจากพืชสกุล </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">Ephedra </span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">6.</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คาร์นิทีนช่วยให้ความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น มีความทนทานมากขึ้น และป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากปริมาณออกซิเจนในเซลล์ไม่เพียงพอ</span></div><a name='more'></a><br />
<div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">7.</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คาร์นิทีนและ อะซีทีล</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">-</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">แอล</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">-</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คาร์นีทีน </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">(Acetyl-L-carnitine) </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น</span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">8.</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">อะซีทีล</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">-</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">แอล</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">-</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คาร์นีทีนช่วยลดความเสียหายของเซลล์ประสาท อันเนื่องมาจากความเครียด และอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แต่ได้ผลเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ทำให้อาการของโรคไม่เป็นไปมากกว่านี้</span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">9.</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">อะซีทีล</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">-</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">แอล</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">-</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คาร์นีทีน มีผลต่อสุขภาพจิตในทางบวก และลดภาวะความเครียด</span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">10.</span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">คาร์นิทีนช่วยในการทำงานของตับ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของคนเรา</span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;"><span style="color: red;">ข้อควรระวังในการใช้แอลคาร์นิทีน</span></span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;"> สารทุกอย่างมีทั้งประโยชน์ และโทษในตัวเองขึ้นกับปริมาณ และช่วงจังหวะเวลาของการใช้ ถึงแม้ว่าแอลคาร์นิทีนจะไม่ปรากฏผลข้างเคียงใดๆ ที่เด่นชัดมากนัก แต่ก็มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าถ้ากินเข้าไปมากขนาด </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">5 </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">กรัมต่อวัน หรือมากกว่าอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ ส่วนอาการข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น มีกลิ่นตัว และเกิดอาการผื่นแดง สำหรับคนที่มีอาการแพ้ต่ออาหารโปรตีน เช่น ไข่ นม หรือข้าวสาลี ไม่ควรกินผลิตภัณฑ์ที่เสริมแอลคาร์นิทีนเป็นอันขาด รวมถึงคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ และไต เด็กที่มีอายุยังไม่ถึง </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">2 </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">ขวบ และสตรีมีครรภ์ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ถ้าจำเป็นก็ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์</span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;"><br />
</span></div><div style="margin-bottom: 0cm;"><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">ที่มา </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif;">http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=plathong&month=10-2008&date=09&group=2&gblog=2</span></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-56535825690481576492011-08-23T21:10:00.000-07:002011-08-23T21:10:53.057-07:00ประโยชย์ของกระเทียม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-GeF5JjDySdc/TlR5tlQzBFI/AAAAAAAAEQU/qNr-jcS0StY/s1600/imagesCAB3C843.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-GeF5JjDySdc/TlR5tlQzBFI/AAAAAAAAEQU/qNr-jcS0StY/s1600/imagesCAB3C843.jpg" /></a></div><span class="Apple-style-span" style="font-size: 24px; font-weight: bold;">ประโยชย์ของกระเทียม เพื่อสุขภาพที่ดี</span><br />
<strong>ประโยชย์ของกระเทียม</strong>นั้นมีมากมายจริง ๆ ค่ะ หนุ่มสาวคนไหนที่ยี้กระเทียมจงเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะค่ะ เพราะกระเทียมนอกจะจากจะปรุงอาหารอร่อยก็ยังช่วยในการยับยั้งมะเร็งได้หลายชนิดอีกด้วยยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ค่ะ ประโยชย์ของกระเทียม เพื่อสุขภาพยังมีอีกเยอะเรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า ประโยชย์ของกระเทียม มีอะไรกันบ้างนะ <br />
<span class="Apple-style-span" style="font-weight: bold;">ประโยชย์ของกระเทียม</span><br />
<strong><br />
1. ใช้ขับเหงื่อ ขับเสมหะ และขับปัสสาวะ </strong>ใช้หัวกระเทียมสดครึ่งกิโลกรัม ทุบพอแตก ใส่ในขวดโหล เติมน้ำผึ้งหรือน้ำหวานข้นๆ 1 ถ้วยแก้ว แช่ไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ ใช้รับประทานครั้งละครึ่งช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง<br />
<strong>2. ใช้ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้จุกเสียดแน่นท้อง </strong>ใช้กระเทียม 5-7 กลีบ บดให้ละเอียด เติมน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อยผสมให้เข้ากัน กรองเอาแต่น้ำใช้ดื่มหรือใช้เนื้อกระเทียม 5 กลีบ หั่นซอยให้ละเอียดรับประทานหลังอาหารทุกเมื้อ<br />
<a name='more'></a><br />
<strong>3. ช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด </strong>รับประทานกระเทียมสดครั้งละ 5 กรัม วันละ 3 ครั้งพร้อมอาหารหรือหลังอาหาร เป็นเวลา 1 เดือน ปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดจะลดลง เมื่อไขมันอยู่ในระดับปกติแล้วให้รับประทานกระเทียมต่อไปวันละ 5 กรัม ก็จะสามารถรักษาระดับโคเลสเตอรอลให้ปกติได้ หากไม่ชอบรับประทานกระเทียมสดอาจรับประทานกระเทียมผงหรือน้ำมันกระเทียมแทนก็ได้ โดยรับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 เวลาหลังอาหาร สารสำคัญที่ออกฤทธิ์คือ สารอัลลิซิน<br />
<strong>4. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันและกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน </strong><br />
รับประทานกระเทียมสดครั้งละ 5 กรัม วันละ 3 เวลา พร้อมอาหารหรือหลังอาหาร เช่นเดียวกับเมื่อต้องการลดโคเลสเตอรอลสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ คือ เมททิลอัลลิลไตรซัลไฟด์ <strong>5. ช่วยลดความดันโลหิต</strong>ใช้เช่นเดียวกับการใช้เพื่อลดโคเลสเตอรอล<br />
<strong>6. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด </strong>เป็นผลที่สรุปได้จากการวิจัยในสัตว์ทดลอง<br />
<strong>7. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย </strong>ที่เป็นสาเหตุของวัณโรคคอตีบ ปอดบวม ไทฟอยด์ และคออักเสบ ทั้งนี้พบว่าฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะ ได้ผลดีเมื่อใช้กระเทียมสดฤทธิ์จะลดลงมากหลังเก็บกระเทียมไว้นาน 6 เดือน สารสำคัญที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียคือ สารอัลลิซิน สคอร์ดินิน (scordinin) และสคอร์ดินีนเอ (scordinine A)<br />
<strong>8. ช่วยรักษาโรคกลาก </strong>ใช้หัวกระเทียมสดฝานทาบริเวณที่เป็นบ่อย ๆ กระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ก่อให้เกิดโรคลิ้นเป็นฝ้าขาวและโรคกลากได้ สารที่ออกฤทธิ์คือ สารอัลลิซิน<br />
<br />
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ากระเทียมมีฤทธิ์ขับพยาธิในคนและสัตว์ได้ มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งบางชนิด มีฤทธิ์ฆ่าแมลงและมีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบตัวอีกด้วย<br />
<strong><br />
ข้อควรระวัง :</strong> ในการบริโภคกระเทียม ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือคนปกติที่รับประทานกระเทียมมากเกินไป รวมทั้งคนที่รับประทานกระเทียมขณะท้องว่างอาจเกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารได้ ควรรับประทานกระเทียมไปพร้อม ๆ กับอาหารหรือหลังอาหาร หากเกิดอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ควรรับประทานกระเทียมให้น้อยลง<br />
<br />
<div><br />
</div><div>ที่มา: <a href="http://www.n3k.in.th/" rel="nofollow">www.n3k.in.th</a></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-52807358343760658832011-08-23T21:04:00.000-07:002011-08-23T21:04:07.761-07:00ประโยชน์ของมะระ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-PNKUikMIsOw/TlR4Gc5XNsI/AAAAAAAAEQQ/rTn0ZbKsxwQ/s1600/mara.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-PNKUikMIsOw/TlR4Gc5XNsI/AAAAAAAAEQQ/rTn0ZbKsxwQ/s1600/mara.jpg" /></a></div><span class="Apple-style-span" style="color: blue;"><strong>ก็อย่างที่โบราณเค้าว่ากันว่า หวานเป็นลมขมเป็นยา สิ่งที่น่าคิดก็คือ ทำไมของที่มีประโยชน์ส่วนใหญ่มักจะมีรสชาติที่ไม่น่ารับประทาน ไม่อร่อยลิ้นเอาเสียเลย ก็อย่างเช่นเจ้ามะระนี่หล่ะค่ะ ที่มีรสชาติขมซะจนไม่อยากจะรับประทาน ภายใต้หน้าตาที่อัปลักษณ์ของมัน ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมาปฏิวัติการกินเสียใหม่นะคะ</strong> ชาวเอเชียรู้จักกันดีถึงสรรพคุณของมะระ แต่ชาวฝั่งตะวันตกกลับกลัวที่จะกินมัน ทั้งที่ยังไม่รู้ประโยชน์ที่แสนจะอัศจรรย์ของมันแม้แต่น้อย เรามาดูประโยชน์ของมะระกันเลยดีกว่านะคะ</span><br />
<strong><span style="color: maroon;"> อย่างแรกเลย คือ ความขมของมะระนั้นสามารถช่วยให้เราเจริญอาหาร</span></strong> เพราะสารขมที่อยู่ในมะระนั้นจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อย ออกมามากจึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ซึ่งเราอาจจะนำมะระไปลวก หรือเผาไฟจิ้ม แล้วนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็ได้นะคะ<br />
<a name='more'></a><br />
<strong><span style="color: maroon;"> ต่อมา..ก็คือ คุณสมบัติในการการบำบัดและรักษาโรคเบาหวานระยะเริ่มต้นด้วยสารอาหารในมะระ</span></strong> ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) อีกทั้งมะระยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต สารอาหารจะผสมอยู่ในรูปของโปรตีน ซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคตับและโรคเบาหวานได้ มะระยังสามารถแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้ามอักเสบได้ค่ะ โดยรับประทานมะระดิบเป็นประจำจะช่วยได้ค่ะ<br />
<strong><span style="color: maroon;">นอกจากนี้มะระยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย</span></strong> เพราะอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี วิตามินบี1 - บี3, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, ธาตุเหล็ก, โพแทสเซียม, เป็นต้น<br />
เมนูอาหารจากมะระ ได้แก่ ต้มจืดมะระยัดไส้, มะระต้มจับฉ่าย, ผัดะมะระหมูสับ, มะระผัดกุ้ง, มะระผัดน้ำมันหอย เป็นต้น หากจะลดความขมของมะระต้องลวกหรือต้มนานๆ โดยคลุกเคล้ากับเกลือก่อนที่จะนำไปปรุง หรือต้มน้ำแล้วเทน้ำทิ้ง 1 ครั้ง ก่อนนำมารับประทาน จะช่วยให้กินมะระได้อย่างสบายใจ<br />
<strong>แถมท้ายอีกนิดนะค่ะ ด้วยข้อควรระวัง เราทานมะระที่ดิบๆ กันได้ แต่ห้ามรับประทานมะระที่มีผลสุกนะค่ะ เพราะอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ค่ะ เนื่องจากมีสารซาโปนินอยู่มากซึ่งสารนี้จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกายค่ะ อีกอย่าง อย่าทานมะระมากจนเกินไปนะค่ะ เพราะจะทำให้ท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบาย</strong><br />
<span style="color: blue;">โอ้โห!!! ไม่น่าเชื่อเลยนะค่ะ ว่ามะระที่มีรสชาติที่ขม ไม่น่ารับประทาน ที่ใครหลายคนไม่ชอบรับประทานกันนั้น จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายจนเราคาดไม่ถึงขนาดนี้ ดังนั้นเราควรจะหันมารับประทานมะระกันบ้างนะค่ะ จะได้มีสุขภาพที่ดีกันนะค่ะ</span><br />
<span style="color: blue;"><br />
</span><br />
<span style="color: blue;">ที่มา: women.kapook.com/health00085/</span>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-44495070077069039812011-07-04T21:50:00.000-07:002011-07-04T21:50:36.267-07:00ผู้หญิงวัยทองกับประโยชน์ของถั่วเหลือง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-3fafJ59rnqc/ThKX6NHvO9I/AAAAAAAAEPI/oFM-BIKqErM/s1600/soy.bmp" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-3fafJ59rnqc/ThKX6NHvO9I/AAAAAAAAEPI/oFM-BIKqErM/s1600/soy.bmp" /></a></div>บทความเรื่อง "<strong>ผู้หญิงวัยทองกับถั่วเหลือง</strong>" นี้ ผู้เขียนหวังว่าจะกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความสนใจอยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพของตนเอง ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งของการสร้างเสริมสุขภาพ<br />
<br />
การสร้างเสริมสุขภาพคือกระบวนการที่ช่วยให้ผู้คนสามารถควบคุมและเพิ่มพูนสุขภาพให้กับตนได้ <br />
"ผู้หญิงวัยทองกับประโยชน์ของถั่วเหลือง" เป็นการรวบรวมข้อมูลจากวารสารวิชาการต่างๆ รวมกับองค์ความรู้ที่คณะผู้วิจัยได้รับจากงานวิจัยเรื่อง ผลของการกินอาหารที่มีปริมาณของถั่วเหลือง มากต่อระดับไขมันและไลปิดเพอร์ออกซิเดชันในเลือดและอาการจากภาวะหมดระดูของหญิงไทยวัยทอง ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ประจำปี พ.ศ.2545<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<strong>วัยทองคืออะไร</strong><br />
วัยทองเป็นช่วงรอยต่อระหว่างวัยกลางคนและวัยสูงอายุ ในช่วงอายุ 40-45 ปีขึ้นไปร่างกายของคนเราจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะมีการสร้างฮอร์โมนเพศลดลง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเจ้าตัวและคู่สมรส ตลอดจนบุคคลอื่นในครอบครัวและสังคม ในผู้ชายวัยทอง การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายที่เรียกว่า เทสโตสเตอโรน (testosterone) ไม่ได้ลดลงอย่างเฉียบพลัน ในทางตรงกันข้าม วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนของผู้หญิง เป็นช่วงเวลาที่สิ้นสุดการมีประจำเดือนแล้ว เพราะรังไข่หยุดทำงาน ทำให้มีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ลดลง ทำให้ผู้หญิงวัยนี้บางรายเกิดกลุ่มอาการ ไม่สุขสบาย เรียกว่า "กลุ่มอาการหมดประจำเดือน" เช่น มีอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกในเวลากลางคืน นอนไม่หลับหรือหลับยาก อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หลงลืมง่าย บางคนมีปัสสาวะบ่อยหรือแสบ เวลาไอจามอาจจะมีปัสสาวะเล็ด ช่องคลอดแห้ง อาจมีอาการปวดแสบปวดร้อน หรือมีอาการเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ผลกระทบต่อสุขภาพที่พบบ่อยได้แก่ โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือดจากการมีระดับไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะระดับโคเลสเตอรอล<br />
<strong>ภาวะหมดประจำเดือนคืออะไร</strong>ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนลดลง จึงเป็นช่วงเวลาที่ประจำเดือนเริ่มมาไม่แน่นอน ถี่บ้างห่างบ้างตามการขึ้นลงของระดับฮอร์โมนเพศในทางการแพทย์เรียกระยะนี้ว่า ระยะก่อนหมดประจำเดือน ในระยะนี้ผู้หญิงบางคนจะเริ่มมีอาการไม่สุขสบาย เช่น ประจำเดือนมาไม่เป็นเวลา นอนไม่ค่อยหลับ อารมณ์แปรปรวน ร้อนวูบวาบ โดยทั่วไป ผู้หญิงจะเข้าวัยหมดประจำเดือนจริงๆ (menopause) เมื่อประจำเดือนหยุดมาอย่างสิ้นเชิงอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างอายุ 45-55 ปี เกิดเร็วหรือช้าขึ้นกับสุขภาพและกรรมพันธุ์ของแต่ละคน เช่น บางคนหมดประจำเดือนตั้งแต่อายุ 40 ปี หรือน้อยกว่า คุณผู้หญิงสามารถบอกตัวเองได้ว่ากำลังหมดประจำเดือนหรือไม่โดยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น<br />
1. ประจำเดือนมาไม่แน่นอน บางทีมาถี่ๆ แล้วทิ้งช่วงหายไปหลายเดือนแล้วกลับมามีอีก มีเลือดประจำเดือนออกมากกว่าปกติหรือมาทุก 2-3 สัปดาห์<br />
2. อาการร้อนวูบวาบ ประมาณ 3 ใน 4 ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน จะมีอาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้น บางครั้งมีอาการเหงื่อออกมากกว่าปกติทั้งที่อากาศเย็น หรือมีเหงื่อออกมาตอนกลางคืน หรือขณะหลับอยู่ อาการเหล่านี้จะเกิดบ่อยในช่วง 2-3 ปีแรกที่ประจำเดือนหมด ทั้งนี้อาการของผู้หญิงแต่ละคนจะรุนแรงไม่เท่ากัน<br />
3. มีอาการนอนไม่หลับหรือหลับยาก บางคนตื่นบ่อยๆ กลางดึกหรือตื่นเช้ากว่าปกติ<br />
4. มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย บางคนมีอาการเศร้าซึม<br />
5. ปัญหาของช่องคลอด ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อของช่องคลอดบางลง ความยืดหยุ่น และความหล่อลื่นลดลง ทำให้เกิดอาการเจ็บเวลาร่วมเพศ หรือมีอาการแสบคัน<br />
6. ปัญหาของระบบทางเดินปัสสาวะ ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เนื้อเยื่อบริเวณเยื่อบุท่อปัสสาวะบางลง และมีความแข็งแรงของกระเพาะปัสสาวะลดลง ผู้หญิงวัยทองมักมีอาการปัสสาวะแล้วแสบ กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้หรือไม่นาน ปัสสาวะเล็ด หรือราดเวลาไอจามหรือเมื่อยกของหนัก<br />
7. ความเต่งตึงและชุ่มชื้นของผิวหนังลดลง เพราะร่างกายสร้างสารคอลลาเจนลดลง ผิวหนังแห้งง่าย มักมีอาการคัน จึงควรหาโลชั่นหรือครีมทาจะช่วยให้หายคันได้<br />
8. การเจริญพันธุ์ลดลง เนื่องจากเวลาตกไข่ไม่แน่นอน แต่สามารถตั้งครรภ์ได้เสมอจนกว่าประจำเดือนจะหยุดมาเป็นเวลา 1 ปีเต็ม<br />
<strong>การรักษาด้วยฮอร์โมน (hormone therapy)</strong><br />
ผู้หญิงในวัยใกล้หมดประจำเดือนและหลังหมดประจำเดือน จะมีภาวะที่มีฮอร์โมนบกพร่องและไม่สมดุล ทำให้เกิดกลุ่มอาการหมดประจำเดือน การให้ฮอร์โมนทดแทนสามารถลดอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกในเวลากลางคืน อารมณ์แปรปรวน และช่วยลดอาการทางระบบสืบพันธุ์และปัสสาวะ ทำให้ผู้หญิงในวัยนี้มีคุณภาพ ชีวิตที่ดีขึ้น รวมทั้งมีผลป้องกันกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนได้ แต่การให้ฮอร์โมนทดแทนในปัจจุบันยังมีข้อขัดแย้งถึงผลดีผลเสียที่เกิดจากการให้ฮอร์โมน เช่น จากการศึกษาในกลุ่มผู้หญิงในสหรัฐอเมริกา พบว่าการให้ฮอร์โมนทดแทนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมและโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นการให้ฮอร์โมนทดแทน แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาที่เหมาะสมต่อผู้หญิงแต่ละคน รวมทั้งต้องมีการติดตามและประเมินผลการรักษาเป็นประจำ ด้วยความกลัวต่อโรคมะเร็งทำให้ผู้หญิงจำนวนมากยอมทนอาการไม่สุขสบายต่างๆ โดยไม่ยอมรับการใช้ฮอร์โมนทดแทน และมองหาการรักษาแบบแพทย์ทางเลือกโดยใช้สารประกอบจากธรรมชาติ เช่น ไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogen)<br />
<strong>ประโยชน์ของไฟโตเอสโตรเจน</strong><br />
การศึกษาทางระบาดวิทยาซึ่งเป็นการศึกษาในกลุ่มคนจำนวนมาก พบว่าคนตะวันตกเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งต่อมลูกหมากสูงกว่าคนเอเชีย โดยมีสมมุติฐานว่า อาหารของคนเอเชีย เช่น คนญี่ปุ่น คนจีน น่าจะมีผลต่อการสร้างฮอร์โมนหรือกระบวนการชีวเคมีในเซลล์ของคนโดยมีหลักฐานแสดงว่า สารประกอบที่มีสูตรโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน เรียกว่า "ไฟโตเอสโตรเจน" ซึ่งพบมากในถั่วเหลือง เมล็ดธัญพืชหลายชนิด และผลเบอร์รี่ มีฤทธิ์ป้องกันมะเร็งได้โดยมีผลต่อการสร้างฮอร์โมนเพศ กระบวนการเมตาบอลิซึม (การเผาผลาญ) การทำงานของเอนไซม์ การสร้างโปรตีน การเพิ่มจำนวนและการเปลี่ยนสภาพของเซลล์มะเร็ง การเจริญเติบโตของหลอดเลือด เป็นต้น ดังนั้นการกินอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจนอาจช่วยส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคบางอย่างได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคมะเร็งของเนื้อเยื่อระบบสืบพันธุ์ และโรคกระดูกพรุน (osteopo-rosis)<br />
<strong>ไฟโตเอสโตรเจนคืออะไร</strong><br />
ไฟโตเอสโตรเจนเป็นสารประกอบที่พบได้ในพืชมากกว่า 300 ชนิด แต่มีมากที่สุดในถั่วเหลือง โดยออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง และกระตุ้นการเจริญของอวัยวะสืบพันธุ์ของสัตว์ตัวเมีย แต่ออกฤทธิ์ได้ต่ำกว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนของคน ไฟโตเอสโตรเจนมีคุณสมบัติคล้ายเอสโตรเจน สามารถแย่งที่กับเอสโตรเจนในการจับกับตัวรับเอสโตรเจนที่มีอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกาย และชักนำให้เกิดการตอบสนองเฉพาะต่อเอสโตรเจน โดยทั่วไปเนื้อเยื่อระบบสืบพันธุ์มีตัวรับเอสโตรเจนมากกว่าเป็นร้อยถึงพันเท่าของเซลล์กระดูกและเซลล์อื่นๆ ในร่างกาย มีงานวิจัยบ่งชี้ว่า ระดับไฟโตเอสโตรเจนในเลือดของคนหลังกินอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจนในปริมาณปกติ สามารถป้องกันการเติบโตของเซลล์ที่ถูกกระตุ้นด้วยเอสโตรเจนได้ ดังนั้น ไฟโตเอสโตรเจนจึงอาจจะลดหรือยับยั้งฤทธิ์ของเอสโตรเจนที่มีต่อเซลล์หรือเนื้อเยื่อที่ตอบสนองต่อเอสโตรเจนได้ เช่น เนื้อเยื่อเต้านม เป็นต้น การบริโภค ไฟโตเอสโตรเจนจึงอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมได้ <br />
<br />
เราสามารถแบ่งไฟโตเอสโตรเจน ออกได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่ ไอโซฟลาโวน (isoflavones) คูเมสแตน (coumes-tans) และลิกแนน (lignan) ไฟโตเอสโตรเจนที่พบมากในอาหารที่กินเป็นประจำวัน คือ ไอโซฟลาโวน ซึ่งมีในถั่วหลายชนิด แหล่งอาหารสำคัญของไฟโตเอสโตรเจนที่ร่างกายของคนได้รับ คือ ถั่วเหลือง ในถั่วเหลืองมีไอโซฟลาโวน ที่สำคัญคือ ไดซีน (daidzein) และ จีนีสทีน (genistein)<br />
<strong>ถั่วเหลืองกับสุขภาพ</strong><br />
<em>ถั่วเหลืองกับภาวะหมดประจำเดือน</em><br />
ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนมักมีอาการร้อนวูบวาบ หงุดหงิด มีอาการทางผิวหนังและเยื่อบุบริเวณช่องคลอด (อักเสบ แห้ง) รวมทั้งมีอัตราการเป็นโรคกระดูกพรุน และอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดสูงขึ้น การใช้ฮอร์โมนทดแทนแม้จะช่วยลดอาการไม่สุขสบายที่เกิดขึ้นแต่ก็มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม การกินอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง ซึ่งมีไอโซฟลาโวนเป็นส่วนประกอบและ มีสูตรโครงสร้างคล้ายเอสโตรเจนอย่างสม่ำเสมอ จึงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้หญิงที่ไม่ต้องการใช้ฮอร์โมนทดแทน เพื่อช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ แล้วยังอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งอื่นๆ ที่สัมพันธ์กับฮอร์โมน รวมทั้งลดระดับไขมันในเลือดได้ มีการศึกษาจำนวนมากที่บ่งชี้ว่า การกินโปรตีนถั่วเหลืองที่มีไอโซฟลาโวนหรือการเสริมไอโซฟลาโวนสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและลดอาการร้อนวูบวาบที่เกิดจากภาวะหมดประจำเดือน การศึกษาในประเทศญี่ปุ่นพบว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นที่กินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองมากทั้งในแง่ปริมาณรวมของถั่วเหลืองและไอโซฟลาโวนจะมีความถี่ของอาการร้อนวูบวาบน้อยกว่า <br />
<br />
จากการวิเคราะห์ผลงานวิจัย 10 เรื่อง เพื่อศึกษาประโยชน์ของการกินถั่วเหลืองและไอโซฟลาโวน พบว่าผลการศึกษายังมีความขัดแย้งกัน คือ มี 4 การศึกษาที่แสดงถึงประโยชน์ของการกินไอโซฟลาโวน ตั้งแต่ 34-134 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งในรูปแป้งถั่วเหลือง โปรตีนถั่วเหลือง หรือสกัดใส่แคปซูลในการช่วยลดกลุ่มอาการที่เกิดจากภาวะหมดประจำเดือน ขณะเดียวกันอีก 6 งานวิจัยไม่แสดงความแตกต่างระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม<br />
<em>ถั่วเหลืองกับโรคกระดูกพรุน</em><br />
โรคกระดูกพรุน เป็นภาวะที่มีความผิดปกติของกระดูกทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงเกิดกระดูกหักได้ง่ายแม้ได้รับการกระทบกระแทกเพียงเล็กน้อย สาเหตุที่พบได้บ่อยและสำคัญมากที่สุดคือ การขาดเอสโตรเจนจากการหมดประจำเดือน ทั้งนี้ ผู้หญิงหลังหมดประจำเดือนจะมีการสูญเสียเนื้อกระดูก ประมาณร้อยละ 3-5 ต่อปี ในเวลา 3-5 ปีแรกของการหมดประจำเดือนทำให้มวลกระดูกลดลงประมาณร้อยละ 15 หลังจากนั้นอัตราการสูญเสียเนื้อกระดูกจะลดลงสู่ระดับเดิมคือ ร้อยละ 0.5-1 ต่อปีจนเข้าสู่วัยสูงอายุ แม้ว่าการเสริมแคลเซียมในช่วงวัยทองไม่สามารถขจัดผลของการขาดเอสโตรเจนได้ แต่จะช่วยลดผลที่เกิดจากการขาดแคลเซียมได้ ทั้งนี้ผู้หญิงควรได้รับแคลเซียมจากอาหารวันละ 800-1,200 มิลลิกรัม อาหารที่มีแคลเซียมสูงได้แก่ นม ปลาทอดกรอบกินได้ทั้งกระดูก กุ้งแห้ง เต้าหู้ เป็นต้น <br />
<br />
จากการศึกษาการได้รับแคลเซียมในผู้ใหญ่ชาวไทย พบว่ามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 361 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณที่ต่ำกว่าที่ควรได้รับประจำวันมาก การศึกษาทางระบาดวิทยาได้แสดงให้เห็นว่าการได้รับแคลเซียมที่น้อยกว่า 500 มิลลิกรัมต่อวัน มีความสัมพันธ์กับอัตราเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการเกิดสะโพกหักในชาวยุโรป และการเสริมแคลเซียมมีผลป้องกันการเกิดกระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรที่ได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ การทดลองในหนูพบว่า จีนีสทีน (ไอโซฟลาโวนชนิดหนึ่ง) ให้ผลคล้ายยาประเภทเอสโตรเจนที่ชื่อ พรีมาริน (Premarinโ) โดยสามารถลดการสูญเสียมวลกระดูกได้ โปรตีนถั่วเหลืองสามารถป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูกที่เกิดจากขาดฮอร์โมนจากรังไข่ของหนูที่ถูกตัดรังไข่ทิ้ง (เกิดการสร้างมวลกระดูกมากกว่าการสลายกระดูก) <br />
<br />
สำหรับการศึกษาในคนนั้น ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปผลว่า ไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลืองป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้ เนื่องจากแม้ว่าจะมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า มีการสูญเสียของมวลกระดูกน้อยกว่าหรือเพิ่มมวลกระดูกมากกว่าในกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับไอโซฟลาโวนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม แต่ก็มีการศึกษาที่ไม่เห็นความ แตกต่างระหว่างกลุ่มที่ได้รับและไม่ได้รับไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลือง ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จึงแนะนำให้กินผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากถั่วเหลือง เพื่อให้ร่างกายได้รับไอโซฟลาโวนมากกว่าจะกินเป็นเม็ดยา<br />
<em>ถั่วเหลืองกับโรคหัวใจขาดเลือด</em><br />
โดยทั่วไปหญิงวัยหมดระดูจะมีเอชดีแอลโคเลสเตอรอล (HDL-cholesterol ซึ่งเป็นไขมันชนิดดี) ลดลงและแอลดีแอลโคเลสเตอรอล (LDL-cholesterol ซึ่งเป็นไขมันชนิดเลว) เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการลดลงของระดับเอสโตรเจน ปัจจัยต่อไปนี้ได้แก่ ภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันเลือดสูง การสูบบุหรี่ เบาหวาน อ้วน การขาดการออกกำลังกาย และดื่มเหล้า เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด การศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า ประชากรที่กินอาหารที่มีโปรตีนจากพืชสูงจะมีอุบัติการณ์ของการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและความชุกของภาวะของโคเลสเตอรอลในเลือดสูงต่ำกว่าประชากรที่กินอาหารที่มีโปรตีนจากสัตว์สูง รายงานการวิเคราะห์ผลงานวิจัยจำนวน 38 เรื่องโดยแอนดอร์สันและคณะเมื่อปี พ.ศ.2538 บ่งชี้ว่า การกินโปรตีนถั่วเหลืองเฉลี่ย 47 กรัมต่อวันทำให้ระดับโคเลสเตอรอลทั้งหมด (total cholesterol) แอลดีแอลโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ในเลือดลดลงร้อยละ 9, 13 และ 10 ตามลำดับ ในเวลาต่อมา (พ.ศ.2542) องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา และสมาคมแพทย์โรคหัวใจในสหรัฐอเมริกาได้ให้คำแนะนำว่า การกินโปรตีนจากถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวัน และให้โปรตีนจากถั่วเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลต่ำ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้<br />
<em>ถั่วเหลืองกับโรคมะเร็ง</em><br />
มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งมดลูก และมะเร็งรังไข่ ซึ่งเป็นมะเร็งชนิดที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนในร่างกายและโรคหัวใจขาดเลือด มีอุบัติการณ์ต่ำกว่าในเอเชียและยุโรปตะวันออกเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก มีรายงานว่า ประเทศญี่ปุ่นมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งที่พึ่งฮอร์โมนต่ำสุด ผู้อพยพชาวเอเชียที่อยู่ในประเทศตะวันตกที่ยังกินอาหารตามประเพณีดั้งเดิมของตนมีอัตราเสี่ยงต่อโรคไม่สูงขึ้น แต่กลุ่มที่หันไปบริโภคแบบตะวันตกมีอัตราเสี่ยงต่อโรคสูงขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับไฟโตเอสโตรเจน โดยขึ้นกับปริมาณถั่วเหลืองที่แต่ละ ท้องถิ่นบริโภค เช่น <br />
- คนญี่ปุ่นกินผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองวันละ 200 มิลลิกรัม <br />
- คนเอเชียจะได้รับไอโซฟลาโวนจากอาหารวันละ 25-45 มิลลิกรัมจากอาหารจำพวกถั่วเหลืองเมล็ดแห้งสูงกว่าคนในประเทศตะวันตก ซึ่งได้รับน้อยกว่า 5 มิลลิกรัมต่อวัน<br />
- ผู้หญิงญี่ปุ่นที่กินซุปเต้าเจี้ยวมากจะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่ำกว่า <br />
- ผู้ชายญี่ปุ่นที่กินเต้าหู้มากกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์ มีอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นครึ่งหนึ่งของผู้ชายที่กินเต้าหู้น้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ <br />
- คนญี่ปุ่นที่กินเต้าหู้มากมีอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหารต่ำ<br />
- คนจีนที่กินถั่วเหลืองมากกว่า 5 กิโลกรัมต่อปี มีอัตราเสี่ยง ต่อมะเร็งกระเพาะอาหารลดลงร้อยละ 40 <br />
- หญิงจีนที่กินอาหารที่ประกอบด้วยถั่วเหลืองน้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์ มีอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งปอดเป็น 3.5 เท่า และมะเร็งเต้านมเป็น 2 เท่าของหญิงจีนที่กินอาหารที่ประกอบด้วยถั่วเหลืองทุกวัน<br />
<br />
<br />
<strong>การศึกษาเรื่อง "ผลของการกินอาหารที่มีปริมาณของถั่วเหลืองมากต่อระดับไขมันและอาการจากภาวะหมดระดูของหญิงวัยทอง"</strong><br />
จากการทบทวนวรรณกรรมดังกล่าวมาข้างต้น ศรีวัฒนา ทรงจิตสมบูรณ์* และคณะ ได้ทำการวิจัยผลของการกินอาหารที่มีปริมาณของถั่วเหลืองมาก (กินโปรตีนจากถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวัน ซึ่งจะได้รับไอโซฟลาโวน 50 มิลลิกรัมต่อวัน) ต่อระดับไขมันและไลปิดเพอร์ออกซิเดชันในเลือดและอาการจากภาวะหมดระดูของหญิงไทยวัยทอง โครงการวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ประจำปี พ.ศ.2545 โดยอาสาสมัครเป็นผู้หญิงวัยทองทั้งหมด 37 คน (อายุ 40-59 ปี) วิธีวิจัยเป็นแบบวิธีสุ่มและสลับชนิดของการกินอาหาร (randomized, controlled cross-over design) <br />
<br />
ผลการศึกษาพบว่า หลังจากกินอาหารที่มีโปรตีนจากถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยของระดับแอลดีแอลโคเลสเตอรอลในเลือด (ไขมันชนิดเลว) ลดลงร้อยละ 18 แต่เอชดีแอลโคเลสเตอรอล (ไขมันชนิดดี) เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ทั้งนี้ แต่พบว่าหลังกินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการแต่ไม่มีถั่วเหลือง กลุ่มตัวอย่างมีระดับแอลดีแอลโคเลสเตอรอลลดลงน้อยกว่าคือ ลดลงร้อยละ 8 เอชดีแอล โคเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 นอกจากนี้อาการจากภาวะหมดระดู (ค่าเฉลี่ยของคะแนนรวมจากแบบประเมินผล) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังจากกินอาหารที่มีโปรตีนจากถั่วเหลืองได้ 4, 8 และ 12 สัปดาห์ โดยในช่วงควบคุม (กินอาหารที่ไม่มีโปรตีนจากถั่วเหลือง) ไม่พบความเปลี่ยนแปลง การกินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการโดยมีไขมันและโคเลสเตอรอลต่ำ รวมทั้งมีปริมาณของถั่วเหลืองมาก (ทดแทนโปรตีนเนื้อสัตว์ด้วยโปรตีนจากถั่วเหลือง) จึงอาจช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด และลดอาการจากภาวะหมดระดูในผู้หญิงวัยทองได้ดีกว่าการบริโภคอาหารปกติที่ไม่มีโปรตีนถั่วเหลือง ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองหลายชนิด ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น เช่น เต้าหู้หลอด เต้าหู้แผ่น นมถั่วเหลืองทั้งที่ไม่ได้เสริมแคลเซียมและเสริมแคลเซียม ไส้กรอกเจที่ทำจากถั่วเหลือง และไอศกรีมที่มีส่วนผสมจากถั่วเหลือง เป็นต้น <br />
<br />
<strong>ไลปิดเพอร์ออกซิเดชันในเลือด</strong>ผลข้างเคียงที่พบรายงานในคนที่บริโภคถั่วเหลือง<br />
จากการศึกษาพบว่า การบริโภค โปรตีนจากถั่วเหลือง ก่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยและไม่รุนแรง โดยมากมักเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด แน่นท้อง ท้องผูก เนื่องจากถั่วเหลืองเป็นพืชชนิดหนึ่งในตระกูลถั่ว จึงอาจมีโปรตีนบางชนิดที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ แต่มักจะเกิดในเด็กที่มีประวัติโรคหอบหืด หรือในรายที่แพ้ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่วอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ยังมีรายงานที่พบว่า ทารกที่ดื่มนมถั่วเหลืองเพียงอย่างเดียวมีโอกาสที่ต่อมไทรอยด์ จะทำงานต่ำกว่าปกติได้ ดังนั้น ในปัจจุบันนมถั่วเหลืองในทารกจะมีการเติมไอโอดีน เพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว<br />
<br />
<em>ข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนวัยทอง</em>ผู้เขียนขอแนะนำให้ผู้อ่านใช้ข้อปฏิบัติการกินอาหารดังต่อไปนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนวัยทอง<br />
1. กินผัก ผลไม้ ถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้หลอด เต้าหู้แผ่น และธัญพืช เป็นประจำ<br />
2. ลดการกินไขมัน อย่าให้เกินร้อยละ 30 ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน โดยลดไขมันจากสัตว์หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีไขมันพวกกรดไขมัน (trans fatty acid) เช่น มาร์การีน เนยขาว โดนัต มันฝรั่งทอด เลือกใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (mono-unsaturated fatty acid) สูง เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา<br />
3. กินอาหารให้หลากหลาย กินปลา ถั่วเมล็ดแห้ง เต้าหู้ ลดปริมาณเนื้อแดงที่บริโภคลง<br />
4. ลดอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง ไม่ควรกินเกินวันละ 300 มิลลิกรัม<br />
5. เพิ่มการกินคาร์โบไฮเดรตเชิง ซ้อน เช่น ข้าว ธัญพืช<br />
6. ลดอาหารเค็ม ดื่มน้ำสะอาดวันละ 1-2 ลิตร<br />
7. ดื่มนมพร่องไขมัน<br />
8. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม<br />
9. ไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง<br />
10. งดสูบบุหรี่และลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น สุรา เบียร์ ไวน์<br />
อย่าลืม ออกกำลังกายทุกวันโดยไม่หักโหม<br />
<br />
ที่มา: <a href="http://www.doctor.or.th/node/1299" rel="nofollow">หมอชาวบ้าน (ฉบับเต็ม)</a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-36854177414762345512011-07-01T19:55:00.000-07:002011-07-01T19:55:23.298-07:00ประโยชน์ของ วิตามินซี (Vitamin C)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-QAC8f_O4JUI/Tg6H38SG-nI/AAAAAAAAEOY/-p4sKnMV0zg/s1600/vitaminC.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-QAC8f_O4JUI/Tg6H38SG-nI/AAAAAAAAEOY/-p4sKnMV0zg/s1600/vitaminC.jpg" /></a></div><span class="Apple-style-span" style="color: #cc0000;"><b>วิตามินซี คืออะไร</b></span><br />
ประวัติการค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ<span id="more-232"></span><br />
และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลง<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<b style="background-color: white;"><span class="Apple-style-span" style="color: #cc0000;">ประโยชน์ของ วิตามินซี</span></b><br />
เราทราบ กันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น<br />
นอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ<br />
- วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้<br />
- วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน<br />
- หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว<br />
- เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด<br />
- เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง<br />
- ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรค ต้อกระจก ลดลงถึง 77%<br />
- บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น<br />
- ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น<br />
- ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับ อาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10<br />
<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: blue;">ขนาดที่รับประทาน</span></b><br />
ใน สภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพ ที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม<br />
หากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัล ว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 – 18,000 มิลลิกรัม<br />
ข้อปฏิบัติในการรับ ประทานเพื่อประโยชน์สูงสุด<br />
- เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัว อื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี<br />
- เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน<br />
- สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด<br />
- การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน<br />
- การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน<br />
- ยัง ไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา<br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: #990000;"><br />
</span></b><br />
<b><span class="Apple-style-span" style="color: #990000;">ข้อควร ระวัง</span></b><br />
- การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium<br />
- การรับ ประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้<br />
- วิตามินซี ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน <script>
</script> <br />
<br />
ที่มา: <a href="http://health.deedeejang.com/news/What-is-Vitamin-C.html" rel="nofollow">ดีดีจัง</a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-48339608807173747412011-06-13T20:04:00.000-07:002011-06-13T20:04:21.981-07:00ประโยชน์ของแคลเซียม ที่มีต่อสุขภาพ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-7e7E6Zzr5aQ/TfbPoYiJpjI/AAAAAAAAEN8/td5VojvCQAE/s1600/imagesCAOTVGV8.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://3.bp.blogspot.com/-7e7E6Zzr5aQ/TfbPoYiJpjI/AAAAAAAAEN8/td5VojvCQAE/s1600/imagesCAOTVGV8.jpg" t8="true" /></a></div><div align="justify"><span style="color: #33ccff;"><strong>แคลเซียมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ</strong></span>และเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นที่มีมากที่สุดในร่างกาย แคลเซียมส่วนมากจะอยู่ที่กระดูกและฟัน ส่วนแคลเซียมที่เหลืออีกส่วนหนึ่งที่น้อยนิดแต่ประโยชน์และมีความจำเป็นมากต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์ การทำงานของระบบประสาท การหดตัวของกล้ามเนื้อ ฯลฯ นอกจากนี้แคลเซียมยังมีประโยชน์ต่อการแข็งตัวของเลือดเมื่อเกิดแผลตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย</div><div align="justify"><br />
<span style="color: #33ccff;"><strong>ถ้าร่างกายขาดแคลเซียม</strong></span> จะทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท กระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์ ทำงานผิดปกติ ที่สำคัญคือทำให้กระดูกเปราะบาง หากร่างกายขาดแคลเซียมไม่มากแต่ขาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดภาวะที่ร่างกายเสียแคลเซียมออกไปจากกระดูกตลอดเวลา จะทำให้แหล่งสะสมแคลเซียมซึ่งก็คือกระดูกเกิดอาการผุกร่อนและมีผลเสียอีกหลายอย่างตามมาเนื่องจากร่างกายขาดแคลเซียม ดังนั้นเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์ของแคลเซียมอย่างเพียงพอ จึงต้องทราบว่าจะหาแคลเซียมได้จากที่ใดบ้าง</div><div align="justify"><a name='more'></a><br />
<span style="color: #33ccff;"><strong>โดยปกติร่างกายจะไม่สามารถสร้างแคลเซียมได้เอง</strong></span> หากต้องการให้ร่างกายได้รับประโยชน์ของแคลเซียมจึงจำเป็นต้องกินอาหารเพื่อให้ได้แคลเซียมมา แหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูงได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม งา เต้าหู้ ผักใบเขียวและปลาตัวเล็กตัวน้อยที่เราสามารถกินได้ทั้งตัว ความสม่ำเสมอและต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ ร่างกายจะได้รับประโยชน์ของแคลเซียมได้อย่างเต็มที่ถ้าเรากินอาหารที่หลากหลายให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอและต่อเนื่องกันไปตลอด</div><div align="justify"><br />
<span style="color: #33ccff;"><strong>ประโยชน์ของแคลเซียมมีมากมาย</strong></span>เพราะแคลเซียมแทรกซึมและมีผลกับระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ที่สำคัญคือประโยชน์ในการป้องกันโรคกระดูกพรุน ลดไขมันในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ เกิดการผ่อนคลายจึงเป็นยานอนหลับแบบธรรมชาติและยังมีประโยชน์ในเรื่องชะลอความแก่อีกด้วย</div><div align="justify"><br />
<span style="color: #33ccff;"><strong>โรคกระดูกพรุนมักเกิดกับคนที่อายุเข้าสู่วัยทองแล้ว</strong></span> ทำให้หลาย ๆ คนเข้าใจว่า ควรเริ่มกินแคลเซียมเมื่อเกิดอาการโรคกระดูกพรุนแล้ว นั่นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเพราะเนื้อกระดูกของคนเราจะมีการสร้างและทำลายตลอดเวลาทุกช่วงชีวิต การสร้างเนื้อกระดูกต้องอาศัยประโยชน์ของแคลเซียม ดังนั้นร่างกายควรได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอในทุก ๆ วัย เพื่อให้อัตราการสร้างเนื้อกระดูกไม่น้อยกว่าการทำลาย ดังนั้นอย่ารอให้กระดูกพรุนแล้วจึงเห็นประโยชน์ของแคลเซียม ควรดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันอย่าให้เกิดปัญหาสุขภาพจะเป็นการดีที่สุด.</div><div align="justify"> </div><div align="justify">ที่มา: <a href="http://thai-good-health.blogspot.com/2008/11/blog-post_27.html">http://thai-good-health.blogspot.com/2008/11/blog-post_27.html</a></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-58116248530471443302011-06-13T19:38:00.000-07:002011-06-13T19:51:20.141-07:00ประโยชน์ของกระดูกอ่อนปลาฉลาม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-rzD2i4k8oXk/TfbJH9SgsDI/AAAAAAAAEN4/fFUld8MG_hg/s1600/shark.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="204" src="http://4.bp.blogspot.com/-rzD2i4k8oXk/TfbJH9SgsDI/AAAAAAAAEN4/fFUld8MG_hg/s1600/shark.jpg" width="247" /></a></div>หูฉลามจัดเป็นอาหารชั้นเลิศของชาวจีนมาแต่โบราณกาล ซึ่งเราจะเห็นตามงานเลี้ยงสำคัญ <br />
เช่น งานฉลองมงคลสมรส ซุปหูฉลามมักถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเมนูอาหาร<br />
ในงานเลี้ยงแบบโต๊ะจีนเสมอๆ ซึ่งแท้จริงแล้วหูฉลามที่เราทานกันก็คือ ส่วนที่ได้จากครีบ<br />
ของฉลามนั่นเอง ซึ่งต้องผ่านกรรมวิธีต่างๆ ยุ่งยากพอสมควร <br />
โดยเอาส่วนครีบของฉลามมาตากแดดจนแห้ง จากนั้นแช่น้ำแล้วต้มให้เปื่อย <br />
แล้วขูดลอกหนังทิ้งไปจนเหลือแต่กระดูกอ่อนๆ โดยมีความเชื่อว่าการรับประทานหูฉลาม<br />
จะช่วยบำรุงสุขภาพ ร่างกายแลดูเยาว์วัยขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคได้อีกด้วย<br />
<br />
นอกจากซุปหูฉลามที่มีความเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว ปัจจุบันกระดูกอ่อนของฉลาม<br />
หรือที่เราอาจจะคุ้นเคยในชื่อภาษาอังกฤษที่ว่า <span style="color: #660000;"><strong>Shark cartilage </strong></span><br />
ยังถูกนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งสกัดมาจากส่วนหัวและครีบของฉลาม <br />
ว่ากันว่าส่วนที่เป็นโครงร่างกระดูก ทั้งหมดของฉลามนั้นเป็นกระดูกอ่อน<br />
<a name='more'></a><br />
จุดเริ่มต้นของการนำกระดูกอ่อนปลาฉลามมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร <br />
เริ่มจากนายแพทย์ที่นิวยอร์คชื่อ John Prudden สนใจศึกษากระดูกอ่อนของสัตว์ <br />
(Animal cartilage) สำหรับใช้ในการรักษาโรคในช่วงต้นยุค ค.ศ. 1950 <br />
ซึ่งช่วงแรกได้ใช้กระดูกอ่อนจากวัว พบว่าสามารถช่วยสมานแผลในคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัด <br />
ต่อมาเขาได้ใช้กระดูกอ่อนจากวัวในการรักษามะเร็ง ซึ่งพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งกว่าครึ่งมีก้อนมะเร็ง<br />
ขนาดเล็กลง หลังจากนั้นกระดูกอ่อนของสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หมู แกะ ไก่ วัว <br />
และฉลามได้ถูกนำมาศึกษาเพิ่มเติม<br />
<br />
ในปี ค.ศ. 1992 มีการตีพิมพ์หนังสือที่เขียนโดย I. William Lane <br />
ในหัวเรื่อง Sharks Don’t Get Cancer ทำให้กระดูกอ่อนปลาฉลามได้รับความนิยม<br />
ในการเป็นทางเลือกของการรักษาโรคมะเร็ง โดยมีความเชื่อว่าฉลามเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อย<br />
พบรายงานว่าเป็นมะเร็งเหมือนกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่าฉลามมีระบบภูมิต้านทาน<br />
พิเศษที่สามารถปกป้องตัวเองจากโรคร้ายนี้ เนื่องจากมันมีกระดูกอ่อนในปริมาณสูง <br />
นอกจากนี้การที่ไม่พบหลอดเลือดในกระดูกอ่อน นำไปสู่สมมติฐานที่ว่าเซลล์กระดูกอ่อน<br />
สามารถผลิตสารที่สามารถยับยั้งการสร้างหลอดเลือด ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในวงการแพทย์ว่า <br />
กระบวนการสร้างหลอดเลือดใหม่หรือที่เรียกว่า Angiogenesis เป็นกลไกสำคัญของเซลล์มะเร็ง<br />
ในการทำให้ตัวมันได้รับสารอาหารและออกซิเจนจากเลือดเพื่อให้มันเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น<br />
และแพร่ลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ฉะนั้นการที่ค้นพบสารที่ยับยั้งกระบวนการนี้ได้ก็เป็นยุทธวิธีหนึ่ง<br />
ในการต่อสู้กับมะเร็ง ซึ่งการศึกษาพบว่ากระดูกอ่อนปลาฉลามมีสารที่มีคุณสมบัติ<br />
ยับยั้งกระบวนการนี้ด้วย ซึ่งเท่ากับว่าช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งนั่นเอง<br />
<br />
นอกจากนี้ยังพบแร่ธาตุแคลเซียม (Calcium) และฟอสฟอรัส (Phosphorus) <br />
ทำให้ปัจจุบันมีประยุกต์ใช้กระดูกอ่อนปลาฉลามทางด้านสุขภาพที่หลากหลาย <br />
เช่น ช่วยบรรเทาอาการจากโรคข้อเสื่อม ข้ออักเสบ บรรเทาอาการอักเสบของผิวหนัง <br />
เช่น โรคเรื้อนกวาง เป็นต้น<br />
<br />
นอกจากนี้ยังพบว่า กระดูกอ่อนปลาฉลามประกอบไปด้วย โปรตีนคอลลาเจน (Collagen) <br />
และสารในกลุ่มไกลโคสะมิโนไกลแคน (Glycosaminoglycans) <br />
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารคอนดรอยติน (Chondroitin) ซึ่งมีผลในการบรรเทาหรือรักษาโรคข้อเสื่อม <br />
และสารในกลุ่มนี้บางชนิดยังมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบและกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีกด้วย<br />
รวมไปถึงการเสริมความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของโปรตีนคอลลาเจน<br />
และอีลาสตินในชั้นหนังแท้ จึงมีส่วนสำคัญในการทำให้ผิวของคนเรานุ่มชุ่มชื้น <br />
มีความยืดหยุ่น ผิวเต่งตึงกระชับ ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผิว <br />
เมื่อยังเยาว์วัยที่เราปรารถนาเป็นเจ้าของ<br />
<br />
<span style="color: #990000;"><strong>ประโยชน์ของกระดูกอ่อนปลาฉลาม (Shark Cartilage)</strong></span><br />
<ul><li>ป้องกันมะเร็งโดยสาร Glucoaminoglycans (GAGs) ที่พบในกระดูกอ่อนปลาฉลามจะมีผลยับยั้งการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ๆ ที่จะไปเลี้ยงเซลล์ที่ผิดปกติหรือเซลล์มะเร็ง (Antiangiogenesis) ทำให้เซลล์เหล่านั้นขาดสารอาหาร และไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อีก </li>
<li>มีคอลลาเจน (Collagen) และคอนดรอยติน ซัลเฟต (Chondroitin Sulfate) ช่วยบรรเทาอาการปวด อักเสบในผู้ป่วยโรคไขข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) </li>
<li>ลดการอักเสบของผิวหนัง เช่น Eczema และ Psoriasis </li>
<li>เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง</li>
</ul><br />
ที่มา: <a href="http://www.marketingoemoffice.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539122282&Ntype=16" rel="nofollow">http://www.marketingoemoffice.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539122282&Ntype=16</a>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-13465942658944608222011-06-13T19:02:00.000-07:002011-06-13T20:05:38.956-07:00ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าวจมูกข้าว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-m4spINKn7x4/TfbBQezIFEI/AAAAAAAAEN0/D-WbuyqgPMo/s1600/rice.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-m4spINKn7x4/TfbBQezIFEI/AAAAAAAAEN0/D-WbuyqgPMo/s1600/rice.jpg" t8="true" /></a></div><strong><u>ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าวจมูกข้าว</u></strong><br />
<strong><span style="color: #339966;">1. ป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดตีบตัน</span></strong> ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี <br />
<span style="color: grey;">Gamma-Oryzanol,Phytosterol,Tocopherol,<br />
Tocotrienol,Oleic Acid (Omega 9)</span> ซึ่งสารดังกล่าวข้างต้น<br />
- ช่วยลดคลอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL-Low Density Lipoprotein)<br />
- ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)<br />
- ช่วยเพิ่มระดับของ HDL.(High Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นคลอเรสเตอรอลที่มีประโยชน์ต่อร่างกา มีผลทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานเป็นปกติ อวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ,สมอง,ตับ,ไต ฯลฯทำงานได้ดีขึ้น ทำให้สามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และกลุ่มโรคหลอดเลือดตีบตันได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด,หัวใจวาย ,อัมพาต,อัมพฤกษ์ เป็นต้น<br />
<span style="color: #339966;"><strong><a name='more'></a>2. ป้องกันโรคเบาหวาน<br />
เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต จะทำหน้าที่ในการจับฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ฮอร์โมนอินซูลิน คงตัวได้นานเกาะตามเซลล์ต่างๆของกล้ามเนื้อ ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินมีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมได้ง่ายขึ้น<br />
<span style="color: #339966;"><strong>3. ป้องกันโรคมะเร็ง </strong></span><span style="color: black;">ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี กลุ่มวิตามินอี </span><span style="color: grey;">(Tocopherol,Tocotrienol),สเตอรอลจากพืช (Phytosterol),แกมม่า-โอไรซานอล (Gamma-Oryzanol) </span>ซึ่งสารดังกล่าวข้างต้น มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง<br />
<span style="color: #339966;"><strong>4. ป้องกันโรคสายตา </strong></span><span style="color: black;">ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี <span style="color: grey;">โปรวิตามินเอ - เบต้าแคโรทีน</span> ซึ่งสามารถป้องกันโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินเอได้ โดยเฉพาะโรคน้ำตาแห้ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นเงางามและมีสุขภาพเล็บที่ดี</span><br />
<span style="color: black;"><span style="color: #339966;"><strong>5. ป้องกันโรคสมองเสื่อม </strong></span><span style="color: black;">ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี Omega3 ,กลุ่มวิตามินอี,แกมม่า-โอโรซานอล,<br />
Phospholipid ซึ่งสารดังกล่าวข้างต้น มีคุณสมบัติรักษาสมดุลของระบบประสาท บำรุงสมองเสริมความจำ ป้องกันโรคสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์</span></span><br />
<span style="color: black;"><span style="color: black;"><span style="color: #339966;"><strong>6. บำรุงผิวพรรณ </strong></span><span style="color: black;">ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี </span></span></span><span style="color: grey;">Linoleic Acid (Omega 6),Squalene (Ceramide Group) <br />
<span style="color: black;">ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของชั้นผิวหนัง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวยืดหยุ่นลดริ้วรอย ป้องกันรังสี UV จากแสงแดด และช่วยปรับสภาพผิว ทำให้ดูขาวกระจ่างใส</span></span><br />
<span style="color: #339966;"><strong>7. ทำให้นอนหลับสบาย </strong><span style="color: black;">ในน้ำมันรำข้าวสกัดมีสารกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งช่วยทำให้นอนหลับสบาย ,ช่วยลดความเครียด</span></span><br />
<span style="color: #339966;"><strong>8. อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกาย </strong><span style="color: black;">ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี <br />
<span style="color: grey;">วิตามินและแร่ธาตุมากมาย เช่น โครเมียม,แมกนีเซียม,แมงกานีส,สังกะสี,ซีลิเนียม,เหล็ก,โปแตสเซียม</span> ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบหัวใจ ,ระบบประสาท ,ระบบสมอง และอวัยวะอื่นๆ</span></span><br />
<strong><span style="color: #339966;">9.ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น </span></strong> <span style="color: #339966;"><strong> </strong></span><span style="color: black;">ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี สาร </span><span style="color: grey;">Policosanol (โพลิโคซานอล) <span style="color: black;">ซึ่งสารตัวนี้ ทำหน้าที่เป็น Anti-platelet agent ซึ่งเป็นสารป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด มีระบบไหลเวียนโล</span></span><span style="color: grey;"><span style="color: black;">หิตดีขึ้น</span></span><br />
<br />
<span style="color: #548dd4; font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 12pt; line-height: 115%;">เอกสารอ้างอิง</span><br />
<span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 10pt; line-height: 115%;">1. Juliano BO,ed Rice :Chemistry and technology, 2<sup>nd</sup> ed, Minnesota : American Association of Cerial Chemists, Inc 1985 ,p.18</span><br />
<span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 10pt; line-height: 115%;">2. Sugano M, Tsu ji E, Rice bran oil and human health, Biomed Environ Sci 1996: 9(2-3):242-6</span><br />
<span style="font-family: "Tahoma", "sans-serif"; font-size: 10pt; line-height: 115%;">3. Raghuram TC. Rukmini C. Nutritional significance of rice bran oil .Indian J Med Res 1995:102:241-4</span></strong></span> ในน้ำมันรำข้าวสกัดมี ธาตุโครเมียม ซึ่งธาตุนี้เมื่อร่างกายดูดซึมUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-376964430796437485.post-92215952372524207302011-06-06T19:21:00.000-07:002011-06-07T06:51:03.591-07:00ประโยชน์ของการตรงต่อเวลา<div style="background-color: transparent; border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; color: black; overflow: hidden; text-align: left; text-decoration: none;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-TxHdQ59W1Zo/Te4ssN14MvI/AAAAAAAAENY/QB8vWAzs8LU/s1600/punctuality-time.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://4.bp.blogspot.com/-TxHdQ59W1Zo/Te4ssN14MvI/AAAAAAAAENY/QB8vWAzs8LU/s1600/punctuality-time.jpg" t8="true" /></a></div><span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT"><strong><span style="color: #003366; font-family: Tahoma; font-size: small;">ประโยชน์ของการตรงต่อเวลา</span></strong><span style="font-size: small;"><span style="color: #003366;"><span style="font-family: Tahoma;">การพัฒนาตนเองให้เป็นคนตรงต่อเวลานั้นเราสามารถทำได้โดยการที่เรารู้จักแบ่งเวลาให้เหมาะสมกับกิจกรรมต่างๆ เป็นการจัดระเบียบให้กับชีวิต สำหรับในการทำงานหรือการเรียนก็คือการพยายามทำงานหรือส่งงานให้เสร็จก่อนเวลาเพื่อมีเวลาตรวจทานและส่งงานให้ตรงตามกำหนด รวมถึงหากนัดหมายกับผู้ใดควรที่จะเผื่อเวลาในการเดินทางเพื่อไปให้ถึงจุดหมายก่อนเวลาสักเล็กน้อย เพื่อจะได้ไม่ต้องเร่งรีบรวมถึงมีเวลาเตรียมความพร้อมให้กับตนเอง<br />
<br />
การที่เราเป็นคนตรงต่อเวลานั้น จะช่วยให้เราเป็นคนที่ขยันขันแข็ง เอาการเอางาน มีความกระตือรือร้น รักที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ ช่วยให้เราไม่เฉื่อยชา ทันสมัย มีชีวิตชีวา เป็นคนมีวินัย สามารถจัดการกับงานหรือสิ่งที่ผ่านเข้ามาได้อย่างเป็นระเบียบ จึงทำให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ มีความก้าวหน้าในชีวิต รวมถึงเป็นคนน่าเชื่อถือ และผู้อื่นให้ความไว้วางใจแก่เรา<br />
<br />
สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ส่วนหนึ่งของการตรงต่อเวลา ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือจะช่วยให้เราสามารถจัดการกับชีวิตของเราได้อย่างราบรื่นและมีความสุข</span><br />
<br />
ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด</span></span></span></div>Unknownnoreply@blogger.com0