- เพิ่มโอกาส และทางเลือกในการลงทุน นอกเหนือจากการฝากเงิน การเล่นหุ้นเอง การซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้
- กระจายความเสี่ยงของการลงทุนไปในหลักทรัพย์หลายประเภทด้วยเงินลงทุนจำนวนไม่มาก เช่น สามารถเป็นเจ้าของหุ้นมากกว่า 10 ตัว (ที่กองทุนถือครองอยู่) ด้วยเงินเพียง 2,000 บาท
- สามารถเป็นเจ้าของหลักทรัพย์หลากหลายประเภทได้โดยไม่ต้องติดต่อหลายหน่วยงาน
- เพิ่มอำนาจต่อรองของเงินลงทุน กองทุนรวมนับเป็นนักลงทุนประเภทสถาบัน ที่มีเงินลงทุนก้อนใหญ่ ทำให้มีอำนาจต่อรองทั้งในเรื่องอัตราดอกเบี้ยและราคาตราสารได้มากกว่านักลงทุนรายย่อย
- บริหารเงินลงทุนโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ
- มีสภาพคล่องสูง เนื่องจากกองทุนส่วนใหญ่สามารถทำรายการซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ และสามารถทำรายการได้ทั่วประเทศ
- มีกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนหลากหลายประเภท ให้เลือก ทำให้สามารถกระจายเงินลงทุนได้อย่างหลากหลาย ตามลักษณะการยอมรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล (mix and match) เช่น ผู้ลงทุนอาจลงทุนในกองทุนบัวแก้ว 20% กองทุนบีเฟล็กซ์ 60% กองทุนบีแอ็คทีฟ 20%
- ประหยัดเวลาในการติดตามข้อมูลในตลาดและภาวะเศรษฐกิจ
- ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยกำไรจากการลงทุนไม่ต้องนำไปคำนวณภาษี นอกจากนี้เงินที่ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เมื่อมีผู้ถือหน่วยปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน
- สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นผู้กำกับดูแลการจัดการและบริหารกองทุน
ที่มา: www.bangkokbank.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น